“เหนื่อยมั้ยครับ”เฟียสหนุ่มน้อยหน้าใส เอ่ยถามบรีซที่ยังง่วนอยู่กับงานกองโต ตอนนี้เจ้านายของเธอไม่อยู่เธอจึงมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตั้งแต่กลับมาจากร้านพิซซ่าเธอแทบจะไม่ได้พักเลย
“อืม เหนื่อยสิเฟียส จะเสร็จเมื่อไรก็ไม่รู้ เฮียติงก็นะ วีนจนเด็กกลัวหมดแล้ว” บรีซว่าขำๆเมื่อเห็นสภาพของเด็กฝึกงานแต่ละคนที่โดนผู้กำกับจอมเฮี้ยบวีนใส “งั้นเดียวเฟียสเอาน้ำมาให้นะ” เขาว่าแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม แค่ได้เห็นหน้าของบรีซในแต่ละวัน แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
“แน่ะๆ” อิงนภาที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังฉากแกล้งแซวเพื่อน
“อะไรของแก” บรีซมุ่นหน้าขณะจัดเอกสารต่างๆอยู่ที่โต๊ะ “จะกินเด็กเหรอจ๊ะ” อิงแอบแซว “จะบ้าเหรอ โอ้ย คิดไปได้” บรีซส่ายหน้าโบกไม้โบกมือรำคานเพื่อนที่ชอบแซวเรื่องของเฟียส “เอ้า แกไม่คิด แต่เด็กมันคิสสสสส”อิงว่าแล้วแกล้งลากเสียงคำว่าคิสยานคางพร้อมห่อปากหลับตาพริ้มท่าทางจะจูบบรีซ
“ยังไม่เลิกเดียวแม่โบกหัวทิ่ม” บรีซว่าแล้วจับแฟ้มงานทำท่าจะตีที่ศีรษะของเพื่อน “แหมๆ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็น....”อิงยังไม่เลิกทะเล้น
“วันๆทำงานก็จะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเจ้าบริ๊งอีก แต่ละวันๆ ชั้นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรณนั้นหรอก อีกอย่าง...ฉันคงยังไม่พร้อม” สายตาบรีซดูเหม่อเลยเมื่อพูดถึงความรัก อิงที่เห็นว่าเพื่อนกำลังนึกถึงใครบางคนที่เคยมีความหมายสำหรับบรีซเธอก็รู้ว่าไม่ควรจะสะกิดแผลในใจของเพื่อนขึ้นมาอีก
“เอาน่า บรีซ คิดซะว่าไม่เคยเจอเขาอย่าไปสนใจเลย แกยังมีชั้นยังมีเจ้าบริ๊ง พี่เบส แล้วก็ ยังมีน้องเฟียส สุดหล่ออยู่อีกคนนะจ๊ะ” อิงตบไหล่เพื่อนเบาๆ บรีซจึงคลายยิ้มได้ในที่สุด เธอ สูดหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะลงมือเคลียงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป แต่เสียงโทรศัทพ์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“เหนื่อยมั้ยครับ”เฟียสหนุ่มน้อยหน้าใส เอ่ยถามบรีซที่ยังง่วนอยู่กับงานกองโต ตอนนี้เจ้านายของเธอไม่อยู่เธอจึงมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตั้งแต่กลับมาจากร้านพิซซ่าเธอแทบจะไม่ได้พักเลย “อืม เหนื่อยสิเฟียส จะเสร็จเมื่อไรก็ไม่รู้ เฮียติงก็นะ วีนจนเด็กกลัวหมดแล้ว” บรีซว่าขำๆเมื่อเห็นสภาพของเด็กฝึกงานแต่ละคนที่โดนผู้กำกับจอมเฮี้ยบวีนใส “งั้นเดียวเฟียสเอาน้ำมาให้นะ” เขาว่าแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม แค่ได้เห็นหน้าของบรีซในแต่ละวัน แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว “แน่ะๆ” อิงนภาที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังฉากแกล้งแซวเพื่อน “อะไรของแก” บรีซมุ่นหน้าขณะจัดเอกสารต่างๆอยู่ที่โต๊ะ “จะกินเด็กเหรอจ๊ะ” อิงแอบแซว “จะบ้าเหรอ โอ้ย คิดไปได้” บรีซส่ายหน้าโบกไม้โบกมือรำคานเพื่อนที่ชอบแซวเรื่องของเฟียส “เอ้า แกไม่คิด แต่เด็กมันคิสสสสส”อิงว่าแล้วแกล้งลากเสียงคำว่าคิสยานคางพร้อมห่อปากหลับตาพริ้มท่าทางจะจูบบรีซ “ยังไม่เลิกเดียวแม่โบกหัวทิ่ม” บรีซว่าแล้วจับแฟ้มงานทำท่าจะตีที่ศีรษะของเพื่อน “แหมๆ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็น....”อิงยังไม่เลิกทะเล้น
“วันๆทำงานก็จะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเจ้าบริ๊งอีก แต่ละวันๆ ชั้นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรณนั้นหรอก อีกอย่าง...ฉันคงยังไม่พร้อม” สายตาบรีซดูเหม่อเลยเมื่อพูดถึงความรัก อิงที่เห็นว่าเพื่อนกำลังนึกถึงใครบางคนที่เคยมีความหมายสำหรับบรีซเธอก็รู้ว่าไม่ควรจะสะกิดแผลในใจของเพื่อนขึ้นมาอีก “เอาน่า บรีซ คิดซะว่าไม่เคยเจอเขาอย่าไปสนใจเลย แกยังมีชั้นยังมีเจ้าบริ๊ง พี่เบส แล้วก็ ยังมีน้องเฟียส สุดหล่ออยู่อีกคนนะจ๊ะ” อิงตบไหล่เพื่อนเบาๆ บรีซคลายยิ้มได้ในที่สุด เธอ สูดหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะลงมือเคลียงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป เสียงโทรศัทพ์ก็ดังขึ้น
“บรีซ..ผมเองนะ” เสียงแผ่วเบาที่เธอไม่ได้ยินมานานดังขึ้นใครบางคนที่เธอเพิ่งนึกถึง โชตชะตาราวกำลังจะเล่นตลกกับชีวิตของเธออีกแล้ว “ผม...เอ่อ...คุยได้มั้ย”น้ำเสียงปลายสายดูเกร็งๆ “นนท์ รู้เบอร์บรีซได้ยังไง” ความรู้สึกสับสนกำลังค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเธออีกครั้ง ภาพอดีตวันวานค่อยๆกลับเข้ามาในความทรงจำเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เธอเคยรัก..หมดหัวใจ “นนท์...คิดถึงบรีซนะ” เขาเอ่ยเบาๆ เฝ้ารอคำตอบว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร “บรีซยังอยู่ดี ยัง...ไม่ตาย” พูดจบเธอก็วางสายลงทันที ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันกำลังจะทำให้เธอ่อนแออีกครั้ง ทั้งๆที่เคยสัญญากับตัวเองแล้วแท้ๆว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายความรู้สึกของตัวเองได้อีก
ท่วงทำนองของเพลงที่เธอเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วดังก้องกังวานขึ้นในความทรงจำ เพลงที่ทำให้เธอรู้ว่าชีวิตเธอยังมีอะไรมากกว่าแค่ความรัก เธอยังมีครอบครัว มีเพื่อนที่คอยห่วงใยเธอ เธอต้องข้ามผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้
“จบแล้ว บรีซ มันจบแล้ว” เธอพยายามจะฝืนความรู้สึกที่มันค่อยๆกลับมาอีกครั้ง กว่าจะเรียกสมาธิให้กลับคืนมาได้อีกครั้งก็กินเวลานานอยู่ไม่ใช้น้อย และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผู้คนในสตูดิโอดูบางตาไปเยอะ จะเหลือก็เพียงทีมงานไม่กี่คนที่คอยเช็คความเรียบร้อย เฟียสเป็นคนสุดท้ายที่มาทักเธอก่อนที่ทุกคนจะร่ำลาจากงานที่แสนยุ่งเหยิงของวันนี้ “กลับแล้วนะครับพี่บรีซ” เขายิ้มแล้วโบกมือลาออกจากสตูดิโอไป
“อืม กลับดีๆนะเฟียส” เธอยิ้มแล้วเอ่ยลาหนุ่มน้อย “อิงไปไหนต่อเปล่า” เธอหันมาถามเพื่อนที่ก็กำลังเก็บของกำลังจะกลับเช่นเดียวกัน “ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ เหนื่อย เฮียติงแหละตัวดีเลย เฮ้อ ว่าจะกลับบ้านอะ แล้วแกอะ” อิงนภาว่าเนื่อยๆแล้วโยนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า
“ก็คงกลับเลยแหละ รีบไปเถอะถ้างั้น ดึกแล้วเดียวหาแท็กซี่ไม่ได้” เธอมองนาฬิกา อีกไม่เกิน10นาทีจะเป็นเวลาสามทุ่มตรง ป่านนี้เจ้าบริ๊งแห้งตายไปแล้วมั้ง เธอนึกถึงน้องสาวตัวแสบที่ไม่รู้ว่าจะหากับข้าวกับปลากินเองได้หรือยัง
กว่าจะลากสังขารกลับถึงที่พักก็เล่นเอาบรีซแทบหมดแรง วันนี้การจราจรคับคั่งมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา บรีซถอนหายใจแล้วกดเรียกลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นที่พักของเธอ เธอไม่ลืมแวะซื้อข้าวกล่องที่ร้านสะดวกซื้อติดมือมาด้วย ป่านนี้น้องสาวตัวดีของเธอคงหิ้วท้องรอเธอแย่แล้วแน่ๆ แต่..มันดันไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ทันที่ที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมอบอวลก็ลอยมาแตะที่จมูกของเธอ บรีซทำจมูกฟุดฟิด แล้วเดินเข้าไปด้านใน
“บริ๊ง”เธอเรียกน้องสาวที่กำลังสาละวนอยู่ที่โต๊ะอาหารเจ้าตัวกำลังจัดเรียงจานช้อนให้เข้าที่ “กลับมาแล้วเย้ย” เจ้าบริ๊งฉีกยิ้มกว้าง “ทำอะไรน่ะ” บรีซมุ่นหน้างงเล็กน้อย นี่น้องสาวตัวดีของเธอหัดเป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่เมื่อไร “หิวม่ะ”บริ๊งถามพี่สาว “อือ เอ้านี่ ข้าว” บรีซว่าแล้วยื่นถุงที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อให้น้องสาว “โหะๆๆๆ วันนี้ไม่ได้ลงท้องเค้าหรอกไอ้ข้าวกล่องอะ” บริ๊งดีด๊าไม่สนใจจะรับถุงข้าวที่พี่สาวยื่นให้ “อะไรของแก อย่าบอกนะทำกับข้าวกินเอง” บรีซว่าแล้วหัวเราะขำๆประชดน้อง “ชิ...ใช่เซ่...อย่างเค้าจะไปทำอะไรเป็นล่ะ เชอะๆ”บริ๊งค้อนเข้าให้
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไรเนี่ย แล้วกลิ่นอะไร ห๊อมมมหอม” บรีซหยุดแกล้งน้องแล้วถามถึงกลิ่นที่มาที่เธอได้รับตั้งแต่กลับมาถึง “หึหึ.....ทาด้าๆๆๆ.....”บริ๊ง พราวทู พรีเซ้น เจ้าตัวขยับหลบไปยืนข้างๆแล้วให้แม่ครัวเอกอย่างณภัทรยกสตูว์หม้อใหญ่ออกมาแทน ทันทีที่บรีซเห็นว่าเป็นใครเธอก็หุบยิ้มในทันที ณภัทรชำเลืองมองเจ้าของห้องที่นั่งหน้ามึนอยู่ที่โต๊ะทานข้าว เธอวางหม้อสตูว์ลงแล้วเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบอาหารอย่างอื่นที่ทำไว้อีกออกมา “ไอ้บริ๊งงงงง” ทันทีที่ภัทรเดินหายเข้าไปด้านใน เธอก็ดึงหูน้องสาวตัวดีทันที “บอกให้อยู่ห่างๆไว้ไง แล้วนี่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” บรีซกระซิบเบาๆแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือที่บิดหูของบริ๊งออก “โอ้ยๆ เจ็บนะเจ๊ ปล่อยๆก่อนๆ”เจ้าบริ๊งโวยวาย เธอถึงยอมปล่อยมือ
“แล้วจะให้น้องอดตายหรือยังไงเล่า กี่โมงกี่ยามแล้วรู้มั้ยเนี่ย โถ คนอุส่าห์หวังดี พี่ภัทรเค้าอาสามาทำให้กินเนี่ย” เจ้าบริ๊งว่าพร้อมมองค้อนพี่สาวของตัวเองอีกตลบ “ไอ้บริ๊งแกก็รู้ว่าฉันกับ...” บรีซกระซิบแล้วเพยิดหน้าเข้าไปด้านในครัว
“โอ้ย ...เจ๊ จะคิดมากทำไมเนี่ยก็พี่ภัทรเค้าบอกเองว่าไม่เป็นไรแล้ว เจ๊นี่อคิตจริงๆ”เจ้าบริ๊งส่ายหน้าแล้วทิ้งบรีซให้นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนตัวเองเดินหายต๋อมเข้าไปในครัวอีกคน “ไม่รู้ด้วยแล้ว ไอ้น้องทรยศ” บรีซว่าแล้วหยิบข้าวกล่องเดินหายเข้าไปในห้องของตัวเอง
ซักพักใหญ่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เจ๊กินข้าว” เจ้าบริ๊งตะโกนบอก
“กินแล้ว” บรีซตีหน้ายุ่งตะโกนตอบกลับมา
“เอ้า...แล้วกัน อร่อยนะจะบอกให้ ไม่กินหรือไง” เจ้าบริ๊งบอกอีกรอบ
“ไม่กิน”บรีซก็ตะโกนตอบกลับไปเช่นกัน
“เฮ้อ...ดื้อจริงๆพี่คนนี้ ไม่รู้นิสัยเหมือนใคร”บริ๊งว่าแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไอ้บริ๊งๆๆๆๆ เดียวโดน” แม้ว่าบริ๊งจะพูดเบาๆแต่พี่สาวเธอก้ได้ยินอยู่ดี เจ้าตัวคนโดนคาดโทษย่นคอแล้วรีบถอยห่างออกจากประตูของของพี่สาว “คงไม่ออกมาแล้วละค่ะ พี่ภัทร” สาวข้างห้องที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะมองบริ๊งแล้วยิ้ม “งั้นก็ทานกันเถอะ พี่หิวแล้ว” ณภัทรว่าแล้วลงมือตักข้าวใส่จานให้สาวน้อยตรงหน้า
“สวรรค์ชัดๆ” บริ๊งปลาบปลื้มแทบจะกระโจนใส่อาหารบนโต๊ะ “อร่อยมั้ย” ณภัทรถาม บริ๊งไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มปลาบปลื้ม ณภัทรจึงลงมือทานอาหารบาง เธอแอบมองประตูห้องนอนของบรีซเป็นพักๆ “อิ่มสุดๆ เฮ้อออ” เจ้าบริ๊งหลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยก็มานั่งผึ่งพุงของตัวเองอยู่ที่โซฟากลางห้อง
“พี่กลับก่อนนะ” ณภัทรที่เพิ่งจะจัดการล้างจานชามทั้งหมดเสร็จ เอ่ยลาบริ๊ง “ค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยกมือไหว้แล้วเดินไปส่งณภัทรที่ประตู “อ๋อ พี่แบ่งเก็บไว้เผื่อพี่เราแล้วนะถ้าหิวก็เอามาอุ่นล่ะอยู่ในตู้เย็น” ณภัทรอมยิ้มแล้วกลับห้องของตัวเองไป “ค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยิ้มแล้วโบกมือลาณภัทร “นางฟ้าชัดๆ”เจ้าบริ๊งเปรยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข แต่ก็ต้องสะดุงเมื่อเห็นว่าใครยืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องนอน “ชะ..อุ้ย..เจ๊ออกมาเมื่อไร ตกใจหมด” บริ๊งว่า
“กลับไปแล้วใช่มั้ย” บรีซกอดอก มุ่นหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟา “เอ้า แล้วเห็นว่าอยู่ไม๊ล่ะ” เจ้าบริ๊งตอบกวนๆ
“มานั่งนี่เลย มานี่ๆ” บรีซแสยะยิ้ม ตบเบาๆที่โซฟาข้างๆ รอยยิ้มแบบนี้แค่เห็นก็สยองแล้ว เจ้าบริ๊งยิ้มแหยๆ ขืนไปตายแน่ๆเจ้าตัวจึงแก้ตัวว่าจะขอตัวไปอาบน้ำเพราะง่วงแล้ว แต่ก็โดนสายตาคมๆของพี่สาวมองค้อนเข้าให้ จึงต้องจำยอมทำตามที่พี่สั่ง “โถ่ เจ๊อะ พี่ภัทรเค้าก็ดีแสนดี ไม่เป็นจะเป็นเหมือนที่เจ๊ว่าเลย เจ๊อะ อคิตไปอะเปล่า” บริ๊งอธิบาย
“อ๋อเหรออ.....เดียวนี้แกเข้าข้างคนอื่นมากกว่าพี่ตัวเองแล้วใช่มั้ย” บรีซมุ่นหน้าแล้วค้อนเข้าให้ “เจ๊อะ...ก็ บริ๊งไม่เห็นว่าพี่ภัทรเค้าจะทำอะไรไม่ดีตรงไหนเลยนี่นา “เจ้าบริ๊งยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมบรีซถึงดูไม่ชอบณภัทรนัก “ก็แน่ละซิ ใครจะไปเห็นแก่กินเหมือนแกล่ะ” บรีซพาลเข้าให้อีกตลบ “เอ้า แล้วกัน เฮ้อๆๆๆ เจ๊อะไม่มีอะไรหรอกคิดมากกกก” เจ้าบริ๊งยังคงยืนยันว่าณภัทรไม่มีอะไรจริงๆ แต่บรีซก็ยังไม่คลายกังวล “ระวังไว้เหอะไม่เห็นหรือไงเวลาเค้ามองแกอะ ตางี้เยิ้มเลย”
“โห้ย เจ๊ คิดได้ไงเนี่ย ไม่เอาล่ะ บริ๊งไปอาบน้ำดีกว่าๆๆ” เจ้าบริ๊งเริ่มรู้สึกว่าพี่สาวของตัวเองออกจะกังวลอะไรเกินเหตุไปเสียแล้ว “ระวังเหอะๆ เกิดอะไรขึ้นมาอย่ามาหาว่าไม่เตือนนะ” บรีซตะโกนไล่หลังบริ๊งที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ความสนิทสนมระหว่างณภัทรและบริ๊งที่มีมากขึ้นๆเริ่มทำให้บรีซเป็นกังวล ยังไงเธอก็ยังไม่ชอบขี้หน้าของสาวข้างห้องอยู่ดี ต่อหน้าบริ๊งเธอราวกับเป็นนางฟ้า แต่เธอรู้สึกว่าไอ้รอยยิ้มหวานๆที่ ณภัทรชอบส่งเกลื่อนกลาดนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ยิ่งแววตาของณภัทรที่เธอแอบเห็น มันช่างดูแปลกสิ้นดี แววตาที่เธอเหมือนจะคุ้นว่าเคยเห็นที่ไหนซักแห่งแต่เจ้าตัวกลับนึกไม่ออก เธอเฝ้ามองพฤติกรรมของ ณภัทรเรื่อยมา แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ทุกครั้งที่ณภัทรมาที่ห้องของเธอ เธอมักจะปลีกตัวหายจ๋อยเข้าไปในห้อง ณภัทรก็เอาแต่ยิ้ม โดยไม่รู้ว่าภายในใจนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอกลับมาแล้วไม่เจอบริ๊ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องข้างๆแน่ๆ เธอจึงรีบตรงดิ่งไปที่ห้องข้างๆทันทีพร้อมมือที่รัวเคาะประตูเหมือนทุกๆครั้ง “นี่คุณๆๆ” บรีซเคาะประตูรัวแทบไม่เว้นจังหวะ แต่ไม่นานนักเจ้าของห้องก็เปิดประตู
“น้องสาวฉันล่ะ” บรีซพยายามจะมองเข้าไปด้านในห้องโดยไม่สนใจเจ้าของห้องที่ยืนขวางทางเข้าอยู่ ณภัทรจึงเบี่ยงตัวหลบ แล้วปล่อยให้อีกคนเข้ามาจะได้ไม่ต้องมัวแต่ชะเง้อมองหาด้วยสายตาอีกต่อไป
“บริ๊ง ไอ้บริ๊ง” บรีซตะโกนเรียกน้องสาว เธอเดินดุ่มๆเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่พบบริ๊งตามที่ตัวเองคิดไว้ “น้องชั้นอยู่ไหน”บรีซหันมาหาเรื่องเอากับเจ้าของห้องแทน “แล้วคุณเห็นมั้ยล่ะ” ณภัทรยิ้มบ้าง แต่รอยยิ้มนั้น ช่างดูแตกต่างจากที่เธอเคยเห็นมาในทุกๆครั้ง
“บริ๊ง....ไอ้บริ๊ง” บรีซตัดสินใจตะโกนเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ “น้องชั้นไปไหน” บรีซมุ่นหน้าแล้วหันมาถามณภัทรด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง” ณภัทรยิ้มอีกแล้ว เดินไปที่ตู้เก็บไวน์เปิดไวน์รินใส่แก้วโดยไม่ได้สนใจอาการกระวนกระวายของคนข้างห้อง
“แล้วถ้าบริ๊งไม่อยู่ ทำไมคุณไม่บอกชั้น” บรีซมุ่นหน้ามองอีกคนที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เธอบุกมาถึงห้อง “ก็คุณอยากเข้ามาเองนิ...ซักแก้วไม๊” ณภัทรบอกเบาๆแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ พร้อมถามบรีซ “ไม่ล่ะ”บรีซสะบัดหน้าตอบแล้วกำลังจะเดินกลับ เธอถึงได้สังเกตเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ในห้องของณภัทร รูปที่ผนังดูโดดเด่นจนเธอต้องหยุดมองมัน
“ชอบเหรอ” ณภัทรเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งแก้วไวน์อีกแก้วให้บรีซ ตอนแรกเธอทำท่าจะไม่รับแต่ก็จำใจต้องรับมาเพราะสายตาคู่สวยของณภัทรอีกแล้วที่ทำให้เธอต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ “ก็งั้นๆ” บรีซรีบเบนสายตาไปทางอื่น ณภัทรอมยิ้มแล้วนั่งลงที่โซฟากลางห้อง “คุณวาดเองหมดเลยเหรอ” บรีซที่คงลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ที่มาที่ห้องของณภัทรแล้วจริงๆนั้นคืออะไร เธอกำลังเพลิดเพลินกับภาพวาดมากมายที่อยู่บนผืนผ้าใบ
มุมห้องด้านหนึ่งถูกจัดเป็น อาร์ทแกลลอรี่เล็กๆ นี่สินะ สาเหตุของเสียงปึงปังที่เกิดขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน “อืม ก็ทั้งหมดที่คุณเห็นนั่นแหละ” ณภัทรเฝ้ามองบรีซที่เดินดูผลงานของเธอแต่ละชิ้นด้วยความรู้สึกประหลาด บรีซดูแตกต่างจากทุกครั้งที่เธอเห็น เธอช่าง....
”ฉันกลับก่อนนะ” เสียงของบรีซทำให้ณภัทรหลุดจากภวังค์ เธอหันไปมองบรีซแล้วจึงพยักหน้า “เอ่อ...ขอโทษที่โวยวายใส่คุณ” ก่อนที่บรีซจะกลับห้องไป เธอเอ่ยบอกณภัทรด้วยใบหน้าอายๆ “ช่างมันเถอะ” ณภัทรอมยิ้ม ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ซักพักแล้วบรีซก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน เธอยิ้มน้อยๆแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง ความรู้สึกประหลาดๆเริ่มก่อตัวขึ้น บรีซหันกลับไปมองที่ห้องของภัทรอีกครั้ง ทำไมเธอต้องทำแบบนี้นะ เธอเองก็ไม่เข้าใจเธอรู้แต่เพียงว่าหัวใจของเธอมันเต้นระรัวจนเกือบจะกระเด็นออกมานอกอกอยู่แล้ว บรีซสูดลมหายใจลึกเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วถึงหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมา เรียกสายไปที่เครื่องของเจ้าน้องสาวตัวดีของเธอ
Innocen't devil
เล่ม 1และ 2 ยังมีอยู่นะคะ
ราคาหนังสือ
Innocent's devil เล่ม1 185บาท
Innocent's devil เล่ม2 235บาท
1. สำหรับผู้สั่งซื้อ เล่ม 1 และเล่ม2 = 235(เล่ม2)+185(เล่ม1)+17ซองกันกระแทกC4+70(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 507 บาท
2.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 2 = 235+17(ซองกันกระแทก)+50(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 302 บาท
3.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 1 = 185+17+50
รวมต้องชำระ 252 บาท
Innocent's devil เล่ม1 185บาท
Innocent's devil เล่ม2 235บาท
1. สำหรับผู้สั่งซื้อ เล่ม 1 และเล่ม2 = 235(เล่ม2)+185(เล่ม1)+17ซองกันกระแทกC4+70(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 507 บาท
2.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 2 = 235+17(ซองกันกระแทก)+50(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 302 บาท
3.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 1 = 185+17+50
รวมต้องชำระ 252 บาท
วิธีการแจ้งโอนเงิน
เลขที่บัญชี 736-2-28423-0
>>>เช็คชื่อบัญชีดีๆนะคะระวังผิด(Morakot W.)<<<
ธนาคาร กสิกรไทย สาขาย่อยถนนรามคำแหง
--------------------------------
หมายเหตุ : หลังแจ้งการโอนเงินแล้ว
กรุณาอีเมล์บอก(subject : ค่าหนังสือ IND)
เมล์ aphrodite_eve@hotmail.com
1.ชื่อ -นามสกุลที่จะให้จัดส่ง
2หนังสือเล่มที่ต้องการซื้อ ยอดการโอน(ลงท้ายเป็นเศษสตางค์)
3.หลักฐานการโอนเงิน เวลาที่โอน สาขา หรืออะไรก็ได้ที่ระบุว่าท่านเป็นผู้โอนเงิน ทางผู้แต่งจะได้สามารถเช็คได้นะคะ
ปล. มีปัญหาอะไรสามารถ เมล์มาสอบถามได้นะคะ หรือจะทิ้งไว้ในfacebook ก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
13.7.55
Trap of the next Door 06
“พี่ภัทรๆๆๆ”เจ้าบริ๊งยิ้มร่ารีบเดินไปหาณภัทรที่อมยิ้มมาแต่ไกล แต่สำหรับ บรีซตอนนี้เธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เป็นที่สุด หลังจากได้ปะทะหน้ากันเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอก็ไม่คิดจะอยากเจอน้องสาวของเจ้านายตัวเองอีก บรีซก้มหน้ามองพื้นทำเหมือนณภัทรไม่มีตัวตน “สวัสดีค่ะ คุณบรีซ” แต่ดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วณภัทรเป็นฝ่ายทักเธอก่อน บรีซได้แต่ฝืนยิ้ม มุมปากของเธอดูจะหนักอึ้งขึ้นมาเสียดื้อๆกว่าจะบังคับให้มันยิ้มได้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“เจ๊เป็นไร”เจ้าบริ๊งรีบพูดแทรกเมื่อเห็นพี่สาวตัวเองทำตัวแข็งทื่อราวกับถูกหล่อด้วยปูนซีเมนต์ “บริ๊งชั้นไปก่อนนะ” บรีซรีบพูดแล้วพยายามจะหลบออกไป “จะรีบไปไหนเหรอคะ” ณภัทรรีบท้วงทำให้คนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปถึงกับชะงัก บรีซหันมาฝืนยิ้มแห้งๆให้ณภัทรอีกครั้ง “ทะ..ทำงานค่ะ” บรีซตะกุกตะกักพูด ไม่รู้จะไปต่อยังไง เรื่องคราวก่อนยังทำให้เธออายทุกครั้งที่นึกถึง แต่นี่ เจ้าตัวคนต้นเรื่องกลับมายืนอมยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเธอเสียนี่
“เอ้า...พักกอง” และก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธออยู่ดี ผู้กำกับขาโหดประกาศพักกองทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำไป “เอ้า ยังไม่ได้ถ่ายเลยนิ พักกองแล้วเหรอ” เจ้าบริ๊งว่าแล้วชะโงกหน้าไปดูทางผู้กำกับที่เดินออกไปนอกสตูดิโอด้วยท่าทางเร่งรีบเหมือนกับโดน..สั่งมาอย่างนั้นแหละ “อืม...บริ๊งหิวหรือยัง” อยู่ๆณภัทรก็หันมาถามบริ๊ง “หิวตั้งแต่เช้าแล้วพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยิ่มแฉ่งแล้วลูบท้องตัวเอง “งั้นไปหาอะไรทานกันมั้ย” ณภัทรว่าแต่สายตาเธอกลับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นพี่แทน บรีซทำได้แต่เพียงแกล้งหลบสายตาไปทางอื่น “จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหรือไง” เธอขมุบขมิบปากแอบนินทาคนไม่มีมารยาทที่ยังไม่ยอมละสายตาจากเธอเสียที แล้วรอยยิ้มแบบนั้นน่ะมันหมายความว่ายังไงยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด บรีซกัดฟัน แต่ก็ต้องพยายามยิ้มไปด้วย
“พี่ภัทรเลี้ยงนะ บริ๊งช่วยเจ็ดบาท”เจ้าบริ๊งยิ้มทะเล้นพร้อมเกาะแขนณภัทร
“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร” บรีซมองตามพลางนึกในใจว่าน้องสาวของเธอไปสนิทกับคนข้างห้องตั้งแต่เมื่อไร นี่คิดจะแปรพรรคหรือยังไง “ไปด้วยกันมั้ยคะคุณบรีซ” ณภัทรเอ่ยเสียงรีบทักคนหน้ายุ่งที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงหน้า
“เอ่อ..คือ...เอ่อ..ดิฉันมีธุระค่ะ” บรีซพยายามนึกถ้อยคำเพื่อเลี่ยงจากสถาณการณ์แสนอึดอัดใจนี้ เธออยากจะหนีไปให้พ้นจากคนตรงหน้านี้เหลือเกิน “แน่ใจเหรอคะ” ณภัทรยังคงงถามต่อ เจ้าบริ๊งมองหน้าณภัทรทีหน้าพี่สางตัวเองทีหนึ่ง สองสาวข้างๆเธอพูดจาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่สีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง “ไปเหอะเจ๊ โอ้ยหิว” เจ้าบริ๊งตัดบทแล้วเกี่ยวแขนพี่สาวข้างหนึ่งณภัทรข้างหนึ่งจูงทั้งสองคนให้ออกเดินไปพร้อมกับตัวเอง “ไอ้บริ๊งเดียวๆ”บรีซพยายามจะท้วงแต่เมื่อเห็นสายตาของณภัทร เธอก็เงียบเสียงลงและจำยอมต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
ร้านที่ณภัทรเลือกพาสองศรีพี่น้องมาทานอาหารกลางวันนั้นกลับเป็นเพียงร้านพิซซ่าแฟนไชน์ ไม่ใช่ร้านหรูเริ่ดอลังการอะไรอย่างที่บรีซแอบคิดไว้ “เย้ๆพิซซ่าๆๆๆ”เจ้าบริ๊งลิงโลดทำตัวเหมือนเด็กๆรีบจูงมือทั้งณภัทรทั้งพี่สาวตังเองเดินนำลิ่วเข้าไปภายในร้าน “ไม่ชอบเหรอคะ”ณภัทรทักเมื่อเห็นหน้ามุ่นๆเหมือนคนคิดไม่ตกของบรีซ “เปล่าค่ะ ทานได้” บรีซตอบแล้วรีบเดินตามน้องสาวเข้าไปภายในร้าน
“อร่อยมั้ยเห็นบ่นอยากกินอยู่ไม่ใช่เหรอ” ณภัทรยิ้มนั่งมองเจ้าบริ๊งที่กำลังเอร็ดอร่อยกับพิซซ่าตรงหน้าแต่เจ้าตัวกลับไม่แตะเลยซักชิ้น “จะจีบเจ้าบริ๊งหรือยังไง” บรีซแอบคิดเมื่อเห็นณภัทรดูจะใจดีกับน้องสาวของตัวเองจนเกินไป เธอแอบมองณภัทรเป็นพักๆแต่ก็ต้องรีบหลบเพราะณภัทรเองก็มักที่จะหันมามองเธอเช่นเดียวกัน “พี่ภัทรไม่ทานเหรอคะ ไม่เห็นแตะเลย”เจ้าบริ๊งที่ตอนนี้อิ่มแปร้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเอ่ยถามเจ้ามือที่เอาแต่นั่งอมยิ้ม “พี่เห็นเรากินก็อิ่มแล้วล่ะ”ณภัทรว่าแล้วใช้มือปัดเศษขนมปังที่ติดที่แก้มบริ๊งออก “ฮึ้ย”บรีซมุ่นหน้า นี่ณภัทรจะจีบน้องสาวเธอหรือยังไง ถึงบริ๊งจะดูทะโมนเหมือนทอมบอย แต่เธอก็รู้ว่าน้องสาวของเธอนั้น สาวแท้ล้านเปอร์เซ็น? “บริ๊งๆ มานั่งนี่มา” บรีซชักเริ่มไม่พอใจต่อกริยาที่ณภัทรปฏิบัติต่อน้องสาวเธอถึงเธอจะเกรง...ณภัทรมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องสาวเธอเธอยอมไม่ได้เด็ดขาด เธอดึงแขนน้องสาวให้สลับที่กับตัวเอง “อะไรของเจ๊เนี่ย” เจ้าบริ๊งถึงกับงงแต่ก็ยอมทำตามที่พี่สาวบอก”เอ่อ ตรงนั้นแอร์มันแรงเดียวไม่สบาย” บรีซหาข้ออ้างได้ในแบบที่บริ๊งเองยังถึงกับอึ้ง “แอร์แรงที่ไหนเนี่ย เหงื่อไหลหยั่งกะท่อปะปาแตก” เจ้าบริ๊งบ่น
“อิ่มแล้วเหรอ”ณภัทรถาม
“สุดๆเลยค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งลูบพุงตัวเองแล้วเอนหลังยาวราวกับจะนอนหลับซะตรงนี้ “ไอ้บริ๊ง...มารยาท”บรีซกัดฟัดกรอดเมื่อเห็นว่าเจ้าบริ๊งจะทำตัวสบายเกินไปแล้ว “ ชะ..อุ้ย”เจ้าบรี๊งรีบยืดตัวขึ้นนั่งตามเดิม
“อิ่มแล้วใช่มั้ย งั้นก็ไปๆกลับๆชั้นยังมีงานต้องทำอีกเยอะนะ”บรีซพูดแล้วรีบลุกขึ้นเธอเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
“เจ๊ๆ เอ้าจะรีบไม่ไหน” เจ้าบริ๊งงง ที่อยู่ๆบรีซก็ลุกขึ้นเดินพรวดพราดออกไป ณภัทรนั่งมองสองพี่น้องทะเลาะกันอยู่ซักพักเธอก็เดินออกไป “คิดเงินด้วยคะ” บรีซยืนบิลที่เคาเตอร์
“โต๊ะนี้จ่ายเงินแล้วนะครับ” พนักงานบอกเธอเบาๆ
“ป่ะบริ๊งกลับกันเถอะ” ณภัทรเอ่ยเบาๆด้านหลังบรีซ เจ้าตัวถึงกับหันไปมองด้วยสีหน้างงๆ ณภัทรยิ้มแล้วเดินออกจากร้านพร้อมบริ๊งโดยไม่พูดอะไรอีก “นี่คุณๆ” บรีซรีบเดินตามทั้งสองคนออกไป “น้องฉัน ฉันเลี้ยงเองได้”บรีซว่าแล้วยื่นเงินเท่ากับในจำนวนบิลให้ณภัทร “คุณเก็บไว้เถอะ”ภัทรตอบเบาๆแล้วหันเดินต่อไป
“ไม่ได้ ชั้นไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร” อยู่ๆเธอก็กล้าขึ้นมาอาจเป็นเพราะท่าทางของณภัทรที่มีต่อบริ๊งทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ สัญชาติญาณของคนเป็นพี่ก็เลยออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“เจ๊” เจ้าบริ๊งตกใจที่เห็นพี่สาวของตัวเองตวาดเสียงดังใส่ณภัทร
“ไปเถอะบริ๊ง” ณภัทรทำแกล้งไม่ได้ยินเสียอย่างนั้นเธอยิ้มแล้วเดินต่อไปโดยมีบรีซที่เร่งก้าวเดินตามมาด้านหลัง “เจ๊ใจเย็นๆสิเรื่องอะไรอีกเนี่ย”เจ้าบริ๊งรีบเข้าไปกระชากแขนของพี่สาวไว้ “กลับถึงบ้านค่อยคุย”เธอบอกน้องแล้วเดินฮึดฮัดตามน้องสาวเจ้านายตัวเองไป
สรุปแล้ว บรีซก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำเพราะณภัทรไม่มีท่าทีที่จะสนใจเธอ เธอจึงจำต้องเก็บเงินลงกระเป๋าแล้วนั่งฟึดฟัดไปตลอดทาง ณภัทรส่งเธอที่หน้าบริษัท ส่วนบริ๊งนั้นกลับคอนโดพร้อมณภัทร “อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนี้ไว้นะ” ก่อนลงจากรถ เธอหันมากระซิบบอกน้องสาวเบาๆ “อะไรของเค้าหวา”เจ้าบริ๊งทำหน้างงๆไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงไม่พอใจณภัทรขึ้นมาอีกแล้ว
“พี่เรานี่ขี้หงุดหงิดนะ”ณภัทรว่าแล้วอมยิ้ม
“แฮะๆ...วันนั้นของเดือนมั้งคะ พี่ภัทรอย่าไปสนใจเจ๊เลย เป็นแบบนี้ประจำแหละ บริ๊งโดนจนชินแหละ” เจ้าตัวดีสบโอกาสเผาพี่สาวตัวเองเข้าให้ “นั่นสินะ” ณภัทรเอ่ยลอยๆแล้วพลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วก่อนที่เธอจะเดินทางไปเรียนต่อยังต่างแดน “ฝากไว้ก่อนเถอะแล้วชั้นจะเอาคืน เราต้องเจอกันอีกแน่” ณภัทรนึกถึงถ้อยคำของตัวเองที่ได้เคยพูดไว้พร้อมใบหน้าของใครบางคนที่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ได้หวั่นเกรงเธอเลยซักนิด ใบหน้าที่เธอยังคงจำได้ดี
“เจ๊เป็นไร”เจ้าบริ๊งรีบพูดแทรกเมื่อเห็นพี่สาวตัวเองทำตัวแข็งทื่อราวกับถูกหล่อด้วยปูนซีเมนต์ “บริ๊งชั้นไปก่อนนะ” บรีซรีบพูดแล้วพยายามจะหลบออกไป “จะรีบไปไหนเหรอคะ” ณภัทรรีบท้วงทำให้คนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปถึงกับชะงัก บรีซหันมาฝืนยิ้มแห้งๆให้ณภัทรอีกครั้ง “ทะ..ทำงานค่ะ” บรีซตะกุกตะกักพูด ไม่รู้จะไปต่อยังไง เรื่องคราวก่อนยังทำให้เธออายทุกครั้งที่นึกถึง แต่นี่ เจ้าตัวคนต้นเรื่องกลับมายืนอมยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเธอเสียนี่
“เอ้า...พักกอง” และก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธออยู่ดี ผู้กำกับขาโหดประกาศพักกองทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำไป “เอ้า ยังไม่ได้ถ่ายเลยนิ พักกองแล้วเหรอ” เจ้าบริ๊งว่าแล้วชะโงกหน้าไปดูทางผู้กำกับที่เดินออกไปนอกสตูดิโอด้วยท่าทางเร่งรีบเหมือนกับโดน..สั่งมาอย่างนั้นแหละ “อืม...บริ๊งหิวหรือยัง” อยู่ๆณภัทรก็หันมาถามบริ๊ง “หิวตั้งแต่เช้าแล้วพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยิ่มแฉ่งแล้วลูบท้องตัวเอง “งั้นไปหาอะไรทานกันมั้ย” ณภัทรว่าแต่สายตาเธอกลับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นพี่แทน บรีซทำได้แต่เพียงแกล้งหลบสายตาไปทางอื่น “จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหรือไง” เธอขมุบขมิบปากแอบนินทาคนไม่มีมารยาทที่ยังไม่ยอมละสายตาจากเธอเสียที แล้วรอยยิ้มแบบนั้นน่ะมันหมายความว่ายังไงยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด บรีซกัดฟัน แต่ก็ต้องพยายามยิ้มไปด้วย
“พี่ภัทรเลี้ยงนะ บริ๊งช่วยเจ็ดบาท”เจ้าบริ๊งยิ้มทะเล้นพร้อมเกาะแขนณภัทร
“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร” บรีซมองตามพลางนึกในใจว่าน้องสาวของเธอไปสนิทกับคนข้างห้องตั้งแต่เมื่อไร นี่คิดจะแปรพรรคหรือยังไง “ไปด้วยกันมั้ยคะคุณบรีซ” ณภัทรเอ่ยเสียงรีบทักคนหน้ายุ่งที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงหน้า
“เอ่อ..คือ...เอ่อ..ดิฉันมีธุระค่ะ” บรีซพยายามนึกถ้อยคำเพื่อเลี่ยงจากสถาณการณ์แสนอึดอัดใจนี้ เธออยากจะหนีไปให้พ้นจากคนตรงหน้านี้เหลือเกิน “แน่ใจเหรอคะ” ณภัทรยังคงงถามต่อ เจ้าบริ๊งมองหน้าณภัทรทีหน้าพี่สางตัวเองทีหนึ่ง สองสาวข้างๆเธอพูดจาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่สีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง “ไปเหอะเจ๊ โอ้ยหิว” เจ้าบริ๊งตัดบทแล้วเกี่ยวแขนพี่สาวข้างหนึ่งณภัทรข้างหนึ่งจูงทั้งสองคนให้ออกเดินไปพร้อมกับตัวเอง “ไอ้บริ๊งเดียวๆ”บรีซพยายามจะท้วงแต่เมื่อเห็นสายตาของณภัทร เธอก็เงียบเสียงลงและจำยอมต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
ร้านที่ณภัทรเลือกพาสองศรีพี่น้องมาทานอาหารกลางวันนั้นกลับเป็นเพียงร้านพิซซ่าแฟนไชน์ ไม่ใช่ร้านหรูเริ่ดอลังการอะไรอย่างที่บรีซแอบคิดไว้ “เย้ๆพิซซ่าๆๆๆ”เจ้าบริ๊งลิงโลดทำตัวเหมือนเด็กๆรีบจูงมือทั้งณภัทรทั้งพี่สาวตังเองเดินนำลิ่วเข้าไปภายในร้าน “ไม่ชอบเหรอคะ”ณภัทรทักเมื่อเห็นหน้ามุ่นๆเหมือนคนคิดไม่ตกของบรีซ “เปล่าค่ะ ทานได้” บรีซตอบแล้วรีบเดินตามน้องสาวเข้าไปภายในร้าน
“อร่อยมั้ยเห็นบ่นอยากกินอยู่ไม่ใช่เหรอ” ณภัทรยิ้มนั่งมองเจ้าบริ๊งที่กำลังเอร็ดอร่อยกับพิซซ่าตรงหน้าแต่เจ้าตัวกลับไม่แตะเลยซักชิ้น “จะจีบเจ้าบริ๊งหรือยังไง” บรีซแอบคิดเมื่อเห็นณภัทรดูจะใจดีกับน้องสาวของตัวเองจนเกินไป เธอแอบมองณภัทรเป็นพักๆแต่ก็ต้องรีบหลบเพราะณภัทรเองก็มักที่จะหันมามองเธอเช่นเดียวกัน “พี่ภัทรไม่ทานเหรอคะ ไม่เห็นแตะเลย”เจ้าบริ๊งที่ตอนนี้อิ่มแปร้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเอ่ยถามเจ้ามือที่เอาแต่นั่งอมยิ้ม “พี่เห็นเรากินก็อิ่มแล้วล่ะ”ณภัทรว่าแล้วใช้มือปัดเศษขนมปังที่ติดที่แก้มบริ๊งออก “ฮึ้ย”บรีซมุ่นหน้า นี่ณภัทรจะจีบน้องสาวเธอหรือยังไง ถึงบริ๊งจะดูทะโมนเหมือนทอมบอย แต่เธอก็รู้ว่าน้องสาวของเธอนั้น สาวแท้ล้านเปอร์เซ็น? “บริ๊งๆ มานั่งนี่มา” บรีซชักเริ่มไม่พอใจต่อกริยาที่ณภัทรปฏิบัติต่อน้องสาวเธอถึงเธอจะเกรง...ณภัทรมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องสาวเธอเธอยอมไม่ได้เด็ดขาด เธอดึงแขนน้องสาวให้สลับที่กับตัวเอง “อะไรของเจ๊เนี่ย” เจ้าบริ๊งถึงกับงงแต่ก็ยอมทำตามที่พี่สาวบอก”เอ่อ ตรงนั้นแอร์มันแรงเดียวไม่สบาย” บรีซหาข้ออ้างได้ในแบบที่บริ๊งเองยังถึงกับอึ้ง “แอร์แรงที่ไหนเนี่ย เหงื่อไหลหยั่งกะท่อปะปาแตก” เจ้าบริ๊งบ่น
“อิ่มแล้วเหรอ”ณภัทรถาม
“สุดๆเลยค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งลูบพุงตัวเองแล้วเอนหลังยาวราวกับจะนอนหลับซะตรงนี้ “ไอ้บริ๊ง...มารยาท”บรีซกัดฟัดกรอดเมื่อเห็นว่าเจ้าบริ๊งจะทำตัวสบายเกินไปแล้ว “ ชะ..อุ้ย”เจ้าบรี๊งรีบยืดตัวขึ้นนั่งตามเดิม
“อิ่มแล้วใช่มั้ย งั้นก็ไปๆกลับๆชั้นยังมีงานต้องทำอีกเยอะนะ”บรีซพูดแล้วรีบลุกขึ้นเธอเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
“เจ๊ๆ เอ้าจะรีบไม่ไหน” เจ้าบริ๊งงง ที่อยู่ๆบรีซก็ลุกขึ้นเดินพรวดพราดออกไป ณภัทรนั่งมองสองพี่น้องทะเลาะกันอยู่ซักพักเธอก็เดินออกไป “คิดเงินด้วยคะ” บรีซยืนบิลที่เคาเตอร์
“โต๊ะนี้จ่ายเงินแล้วนะครับ” พนักงานบอกเธอเบาๆ
“ป่ะบริ๊งกลับกันเถอะ” ณภัทรเอ่ยเบาๆด้านหลังบรีซ เจ้าตัวถึงกับหันไปมองด้วยสีหน้างงๆ ณภัทรยิ้มแล้วเดินออกจากร้านพร้อมบริ๊งโดยไม่พูดอะไรอีก “นี่คุณๆ” บรีซรีบเดินตามทั้งสองคนออกไป “น้องฉัน ฉันเลี้ยงเองได้”บรีซว่าแล้วยื่นเงินเท่ากับในจำนวนบิลให้ณภัทร “คุณเก็บไว้เถอะ”ภัทรตอบเบาๆแล้วหันเดินต่อไป
“ไม่ได้ ชั้นไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร” อยู่ๆเธอก็กล้าขึ้นมาอาจเป็นเพราะท่าทางของณภัทรที่มีต่อบริ๊งทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ สัญชาติญาณของคนเป็นพี่ก็เลยออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“เจ๊” เจ้าบริ๊งตกใจที่เห็นพี่สาวของตัวเองตวาดเสียงดังใส่ณภัทร
“ไปเถอะบริ๊ง” ณภัทรทำแกล้งไม่ได้ยินเสียอย่างนั้นเธอยิ้มแล้วเดินต่อไปโดยมีบรีซที่เร่งก้าวเดินตามมาด้านหลัง “เจ๊ใจเย็นๆสิเรื่องอะไรอีกเนี่ย”เจ้าบริ๊งรีบเข้าไปกระชากแขนของพี่สาวไว้ “กลับถึงบ้านค่อยคุย”เธอบอกน้องแล้วเดินฮึดฮัดตามน้องสาวเจ้านายตัวเองไป
สรุปแล้ว บรีซก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำเพราะณภัทรไม่มีท่าทีที่จะสนใจเธอ เธอจึงจำต้องเก็บเงินลงกระเป๋าแล้วนั่งฟึดฟัดไปตลอดทาง ณภัทรส่งเธอที่หน้าบริษัท ส่วนบริ๊งนั้นกลับคอนโดพร้อมณภัทร “อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนี้ไว้นะ” ก่อนลงจากรถ เธอหันมากระซิบบอกน้องสาวเบาๆ “อะไรของเค้าหวา”เจ้าบริ๊งทำหน้างงๆไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงไม่พอใจณภัทรขึ้นมาอีกแล้ว
“พี่เรานี่ขี้หงุดหงิดนะ”ณภัทรว่าแล้วอมยิ้ม
“แฮะๆ...วันนั้นของเดือนมั้งคะ พี่ภัทรอย่าไปสนใจเจ๊เลย เป็นแบบนี้ประจำแหละ บริ๊งโดนจนชินแหละ” เจ้าตัวดีสบโอกาสเผาพี่สาวตัวเองเข้าให้ “นั่นสินะ” ณภัทรเอ่ยลอยๆแล้วพลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วก่อนที่เธอจะเดินทางไปเรียนต่อยังต่างแดน “ฝากไว้ก่อนเถอะแล้วชั้นจะเอาคืน เราต้องเจอกันอีกแน่” ณภัทรนึกถึงถ้อยคำของตัวเองที่ได้เคยพูดไว้พร้อมใบหน้าของใครบางคนที่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ได้หวั่นเกรงเธอเลยซักนิด ใบหน้าที่เธอยังคงจำได้ดี
Captivated Clumsy 09
“น้องอายคะ แน่ใจนะคะ ว่าไม่เป็นอะไร” หลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อยและทุกคนกำลังเดินทางไปสวนสนุก แอมก็มักจะแอบสังเกตท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของสาวหน้าหวานที่นั่งข้างๆ จนเธออดไม่ไหวถามออกไปอีกจนได้
“อะเออ....ค่ะ....ไม่เป็นไร” อายสะดุ้งขณะที่ในหัวกลับนึกถึงแต่ร่างเพรียวที่เห็นเพียงแค่ด้านหลัง ที่เธอพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถจะลืมได้ซักที
“พี่แอมเห็นน้องอายเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” แอมอดกังวลไม่ได้ กลัวแม่สาวข้างๆกำลังคิดอะไรคนเดียวอีก
“ค่ะ อายแค่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่พี่แอมอย่าสนใจเลยค่ะเรื่องไม่เป็นเรื่อง” อาคิราพูดในขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอกแทน พร้อมกับใบหน้าสวยๆของแพรวาที่ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในจิตใจของเธออีกครั้ง
“เอาล่ะเด็กๆเตรียมตัวนะคะจะถึงแล้ว ใครอยากทำอะไรนึกเอาไว้แล้วหรือยัง” ดูเหมือนอาคิราไม่ต้องการจะให้เธอซักไซ้อะไรอีก แอมจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เธอมองกระจกหลังถามเจ้าตัวจ้อยสองคนที่นั่งตาแป๋วฟังเรื่องที่เธอกำลังถามอาคิราอยู่
“สไลเดอร์ๆ” เจ้าข้าวตะโกนโวกเวกโวยวายบอกลั่น และเริ่มเถียงกับน้องเมย์ที่อยากจะนั่งม้าหมุนมากกว่า
“ค่าๆ”แอมอมยิ้มมองเจ้าตัวยุ่งสองคนเถียงกันเสียงดัง แล้วแอบปรายตามองแม่สาวจอมคิดมากที่นั่งข้างๆที่ดูจะไม่สนใจอะไรเอาเสียเลย แอมขมวดคิ้วสงสัยว่าเรื่องอะไรอีกกันนะที่ทำให้อาคิราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นเรื่องของเธออีกหรือเปล่า
“น้องอายนั่งรอที่นี่ก่อนนะคะ พี่แอมขอพาสองคนนี้ไปเปลี่ยนชุดก่อน” หลังจากมาถึงสวนสนุกและทั้งหมดเลือกจับจองที่นั่งสบายๆข้างทะเลจำลองขนาดใหญ่แล้ว อาคิราก็ทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้เนื่อยๆ แอมพยายามจะชวนสาวหน้าหวานคุยทำโน้นทำนี่ แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาไม่สะดุ้งตกใจก็เป็นเพียงรอยยิ้มเก้อๆที่ดูเหม่อลอย และดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรรอบตัว
“น้องอายคะ” แอมเรียกสาวหน้าหวานอีกครั้ง ขณะที่ปล่อยให้สองตัวแสบสนุกกับคลื่นน้ำจืดอยู่บริเวณนั้น
“คะ” เป็นอีกครั้งที่อาคิราตอบอย่างตกใจเหมือนหลุดจากภวังค์
“พี่แอมฝากดูสองคนนั้นแป๊บนะคะ เดียวพี่แอมไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นเตรียมไว้ให้สองคนนั้นก่อน” แอมบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินไป
“ค่ะได้ค่ะ” อายยิ้มเก้อๆส่งให้ แล้วมองเจ้าหลานชายตัวดีที่กำลังเล่นสาดน้ำอยู่กับน้องเมย์อย่างสนุก
“มั่วทำบ้าอะไรอยู่นะเรา คิดอะไรอยู่” อาคิราพึมพำเธอนึก จะมามัวนึกถึงคนที่ไม่ใยดีเธออยู่ทำไม ทำไมต้องนึกถึง ทำไมแค่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่เธอคนนั้นหรือเปล่า ก็เป็นถึงขนาดนี้อาคิรานึกโมโหตัวเอง และพยายามฝืนยิ้มเหตุผลที่เธอมาที่นี่กับทุกๆคนเพื่อต้องการมาพักผ่อนไม่ใช่เหรอ เธอนึกแล้วสะบัดหน้าแรงๆพยายามสลัดใบหน้าของแพรวาที่อยู่ในหัวออกให้ได้ หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะเดินออกไปหาเจ้าหลานชายที่กำลังเล่นสนุกอยู่แทน
“อาอายทางนี้ เล่นน้ำกัน” เจ้าข้าวยิ้มตาหยี พลางพยายามจะสาดน้ำใส่อาของตัวเอง
“ไม่เอา ไม่เล่นย่ะ ชั้นไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน” อายตะโกนบอกเจ้าหลานชายตัวดีอยู่ข้างๆสระแทน
“จะขึ้นหรือยังนานแล้วนะข้าวเดียวไม่สบาย” หลังจากนั่งมองเจ้าหลานชายเล่นน้ำอยู่นาน อาคิราก็ลองเรียกเจ้าตัวดีดูอีกครั้ง
“ม่าอาว ข้าวจาเล่นอีก” เจ้าตัวดีตะโกนบอก แล้วรีบไต่ขึ้นไปบนสไลเดอร์ที่ต่อกับสระน้ำอย่างสนุกอีกครั้ง..
“ตามใจ ไม่สบายอย่ามาอ้อนล่ะ ชั้นจะสมน้ำหน้าซ้ำ” อาคิราตะโกนบอกแล้วเดินกลับไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดิม
“ทำไมพี่แอมไปนานนักนะ” อายบุ้ยปากพลางนึก แค่ไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นทำไมแอมถึงหายไปนานนัก แล้วอาคิราก็เริ่มสวมวิญญาณยีราฟคอยื่นคอยาว พยายามมองหาร่างสูงเพรียวของหมอแอม
“มาแล้ว” อายยิ้ม เมื่อเห็นร่างเพรียวของแอมเดินมาแต่ไกล แต่เหมือนกับแอมกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ด้วย และก็ไม่ผิดอย่างที่เธอคิด ข้างๆของแอมมีหญิงสาวสวยเดินเคียงมาด้วย ทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่างท่าทางดูสนุก อาคิราหุบยิ้มแทบในทันที ทำไมหมอแอมต้องยิ้มหวานแบบนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย แล้วกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ทำไมท่าทางถึงดูสนุกสนานแล้วก็สนิทสนมถึงขนาดนั้น และที่สำคัญทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องเกี่ยวแขนหมอแอมราวกับเป็นคู่รักกันแบบนั้นด้วย
“มาแล้วค่ะ” แอมเอ่ยทักพร้อมส่งยิ้มให้อาคิรา แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของคนตัวเล็กคงกำลังไม่พอใจอย่างหนักนอกจากจะไม่พูดไม่ ยิ้มตอบแล้ว อาคิรายังแกล้งมองเมินเสียนี่ เล่นเอาแอมเกิดอาการงงเล็กๆว่าอาคิราเป็นอะไรไปอีก
“ขอโทษนะคะที่หายไปนาน พอดีเจอ...” แอมพยายามจะพูดให้คนตัวเล็กหันมาสนใจ และลังเลว่าควรจะพูดอะไรต่อดีมั้ย อาคิราปรายหางตามามองเพียงเล็กน้อยและเริ่มมองสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆหมอแอมรวมถึงแขนของแขกแปลกหน้าที่ยังเกาะแขน หมอแอมไม่ยอมปล่อยนั้นด้วย
“..ฟ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างให้ด้วยความเป็นมิตร
“ฟ้านี่น้องอายที่พี่แอมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ไงคะ..แล้วก็น้องอายคะ นี่ฟ้าค่ะ รุ่นน้องพี่แอมตอนพี่แอมเรียนหมอ ไปต่อโทที่เมกาเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเองค่ะ” แอมยิ้มอธิบายสั้นๆท่าทางดีใจให้อาคิราที่ยังคงตีสีหน้าเหมือนไม่สนใจอะไรฟัง
“ค่ะ” อาคิราตอบสั้นๆแผลงฤทธิ์หน้างุ้ม อีกแล้ว
“อะ เอ่อ” แอมพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอเดาอารมณ์ของแม่สาวขี้งอนคนนี้ไม่ถูกจริงๆ ตะกี้ยังนั่งเหม่อทำท่าซังกะตาย อยู่ดีๆก็เปลี่ยนมาเป็นสาวเจ้าอารมณ์เสียแล้ว
“ฟ้าว่า....ฟ้าขอตัวก่อนดีกว่ามั้งคะ” ไม่ต่างกันกับสาวสวยที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกเธอเริ่มรู้สึกว่าผู้หญิง หน้าหวานคนนี้กำลังไม่พอใจอะไรเธออยู่แน่ๆ เธอเองก็เป็นอีกคนที่แทบจะหุบยิ้มตามหมอแอมไม่ทัน
“ฟ้าไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ อยู่คุยกับพี่ก่อนก็ได้ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังตั้งเยอะ” แอมยิ้มให้แล้วฉุดแขนของ หญิงสาวที่เหมือนลังเลว่าควรจะอยู่ต่อดีมั้ยให้นั่งลงข้างๆเธอ
“แต่ว่า....” ฟ้าลังเล มองหน้าของสาวหน้าหวานที่นั่งถัดไป ที่พอเมื่อเธอมองเจ้าตัวก็รีบค้อนหลบสายตาเอาเสียอย่างนั้น
“นะคะ อยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนพอดีมีบางคนเค้าคงไม่ค่อยอยากคุยกับพี่แอมเท่าไรน่ะค่ะ ฟ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนนะคะ” แอมพูดเสียงหวานอ้อนๆ เล่นเอาอาคิราหันควับมามองค้อนให้ ที่แอมพูดนั้นถ้าไม่ได้หมายถึงเธอก็คงจะไม่มีใครแล้วล่ะ
“ตามสบายนะคะ” อาคิราตอบเสียงห้วนสะบัดค้อนงามๆ แล้วลุกพรวด เดินปึงปังไปหาสองตัวแสบที่ยังเล่นน้ำกันอย่างสนุกแทน
“อะเออ....ค่ะ....ไม่เป็นไร” อายสะดุ้งขณะที่ในหัวกลับนึกถึงแต่ร่างเพรียวที่เห็นเพียงแค่ด้านหลัง ที่เธอพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถจะลืมได้ซักที
“พี่แอมเห็นน้องอายเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” แอมอดกังวลไม่ได้ กลัวแม่สาวข้างๆกำลังคิดอะไรคนเดียวอีก
“ค่ะ อายแค่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่พี่แอมอย่าสนใจเลยค่ะเรื่องไม่เป็นเรื่อง” อาคิราพูดในขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอกแทน พร้อมกับใบหน้าสวยๆของแพรวาที่ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในจิตใจของเธออีกครั้ง
“เอาล่ะเด็กๆเตรียมตัวนะคะจะถึงแล้ว ใครอยากทำอะไรนึกเอาไว้แล้วหรือยัง” ดูเหมือนอาคิราไม่ต้องการจะให้เธอซักไซ้อะไรอีก แอมจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เธอมองกระจกหลังถามเจ้าตัวจ้อยสองคนที่นั่งตาแป๋วฟังเรื่องที่เธอกำลังถามอาคิราอยู่
“สไลเดอร์ๆ” เจ้าข้าวตะโกนโวกเวกโวยวายบอกลั่น และเริ่มเถียงกับน้องเมย์ที่อยากจะนั่งม้าหมุนมากกว่า
“ค่าๆ”แอมอมยิ้มมองเจ้าตัวยุ่งสองคนเถียงกันเสียงดัง แล้วแอบปรายตามองแม่สาวจอมคิดมากที่นั่งข้างๆที่ดูจะไม่สนใจอะไรเอาเสียเลย แอมขมวดคิ้วสงสัยว่าเรื่องอะไรอีกกันนะที่ทำให้อาคิราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นเรื่องของเธออีกหรือเปล่า
“น้องอายนั่งรอที่นี่ก่อนนะคะ พี่แอมขอพาสองคนนี้ไปเปลี่ยนชุดก่อน” หลังจากมาถึงสวนสนุกและทั้งหมดเลือกจับจองที่นั่งสบายๆข้างทะเลจำลองขนาดใหญ่แล้ว อาคิราก็ทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้เนื่อยๆ แอมพยายามจะชวนสาวหน้าหวานคุยทำโน้นทำนี่ แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาไม่สะดุ้งตกใจก็เป็นเพียงรอยยิ้มเก้อๆที่ดูเหม่อลอย และดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรรอบตัว
“น้องอายคะ” แอมเรียกสาวหน้าหวานอีกครั้ง ขณะที่ปล่อยให้สองตัวแสบสนุกกับคลื่นน้ำจืดอยู่บริเวณนั้น
“คะ” เป็นอีกครั้งที่อาคิราตอบอย่างตกใจเหมือนหลุดจากภวังค์
“พี่แอมฝากดูสองคนนั้นแป๊บนะคะ เดียวพี่แอมไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นเตรียมไว้ให้สองคนนั้นก่อน” แอมบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินไป
“ค่ะได้ค่ะ” อายยิ้มเก้อๆส่งให้ แล้วมองเจ้าหลานชายตัวดีที่กำลังเล่นสาดน้ำอยู่กับน้องเมย์อย่างสนุก
“มั่วทำบ้าอะไรอยู่นะเรา คิดอะไรอยู่” อาคิราพึมพำเธอนึก จะมามัวนึกถึงคนที่ไม่ใยดีเธออยู่ทำไม ทำไมต้องนึกถึง ทำไมแค่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่เธอคนนั้นหรือเปล่า ก็เป็นถึงขนาดนี้อาคิรานึกโมโหตัวเอง และพยายามฝืนยิ้มเหตุผลที่เธอมาที่นี่กับทุกๆคนเพื่อต้องการมาพักผ่อนไม่ใช่เหรอ เธอนึกแล้วสะบัดหน้าแรงๆพยายามสลัดใบหน้าของแพรวาที่อยู่ในหัวออกให้ได้ หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะเดินออกไปหาเจ้าหลานชายที่กำลังเล่นสนุกอยู่แทน
“อาอายทางนี้ เล่นน้ำกัน” เจ้าข้าวยิ้มตาหยี พลางพยายามจะสาดน้ำใส่อาของตัวเอง
“ไม่เอา ไม่เล่นย่ะ ชั้นไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน” อายตะโกนบอกเจ้าหลานชายตัวดีอยู่ข้างๆสระแทน
“จะขึ้นหรือยังนานแล้วนะข้าวเดียวไม่สบาย” หลังจากนั่งมองเจ้าหลานชายเล่นน้ำอยู่นาน อาคิราก็ลองเรียกเจ้าตัวดีดูอีกครั้ง
“ม่าอาว ข้าวจาเล่นอีก” เจ้าตัวดีตะโกนบอก แล้วรีบไต่ขึ้นไปบนสไลเดอร์ที่ต่อกับสระน้ำอย่างสนุกอีกครั้ง..
“ตามใจ ไม่สบายอย่ามาอ้อนล่ะ ชั้นจะสมน้ำหน้าซ้ำ” อาคิราตะโกนบอกแล้วเดินกลับไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดิม
“ทำไมพี่แอมไปนานนักนะ” อายบุ้ยปากพลางนึก แค่ไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นทำไมแอมถึงหายไปนานนัก แล้วอาคิราก็เริ่มสวมวิญญาณยีราฟคอยื่นคอยาว พยายามมองหาร่างสูงเพรียวของหมอแอม
“มาแล้ว” อายยิ้ม เมื่อเห็นร่างเพรียวของแอมเดินมาแต่ไกล แต่เหมือนกับแอมกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ด้วย และก็ไม่ผิดอย่างที่เธอคิด ข้างๆของแอมมีหญิงสาวสวยเดินเคียงมาด้วย ทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่างท่าทางดูสนุก อาคิราหุบยิ้มแทบในทันที ทำไมหมอแอมต้องยิ้มหวานแบบนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย แล้วกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ทำไมท่าทางถึงดูสนุกสนานแล้วก็สนิทสนมถึงขนาดนั้น และที่สำคัญทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องเกี่ยวแขนหมอแอมราวกับเป็นคู่รักกันแบบนั้นด้วย
“มาแล้วค่ะ” แอมเอ่ยทักพร้อมส่งยิ้มให้อาคิรา แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของคนตัวเล็กคงกำลังไม่พอใจอย่างหนักนอกจากจะไม่พูดไม่ ยิ้มตอบแล้ว อาคิรายังแกล้งมองเมินเสียนี่ เล่นเอาแอมเกิดอาการงงเล็กๆว่าอาคิราเป็นอะไรไปอีก
“ขอโทษนะคะที่หายไปนาน พอดีเจอ...” แอมพยายามจะพูดให้คนตัวเล็กหันมาสนใจ และลังเลว่าควรจะพูดอะไรต่อดีมั้ย อาคิราปรายหางตามามองเพียงเล็กน้อยและเริ่มมองสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆหมอแอมรวมถึงแขนของแขกแปลกหน้าที่ยังเกาะแขน หมอแอมไม่ยอมปล่อยนั้นด้วย
“..ฟ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างให้ด้วยความเป็นมิตร
“ฟ้านี่น้องอายที่พี่แอมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ไงคะ..แล้วก็น้องอายคะ นี่ฟ้าค่ะ รุ่นน้องพี่แอมตอนพี่แอมเรียนหมอ ไปต่อโทที่เมกาเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเองค่ะ” แอมยิ้มอธิบายสั้นๆท่าทางดีใจให้อาคิราที่ยังคงตีสีหน้าเหมือนไม่สนใจอะไรฟัง
“ค่ะ” อาคิราตอบสั้นๆแผลงฤทธิ์หน้างุ้ม อีกแล้ว
“อะ เอ่อ” แอมพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอเดาอารมณ์ของแม่สาวขี้งอนคนนี้ไม่ถูกจริงๆ ตะกี้ยังนั่งเหม่อทำท่าซังกะตาย อยู่ดีๆก็เปลี่ยนมาเป็นสาวเจ้าอารมณ์เสียแล้ว
“ฟ้าว่า....ฟ้าขอตัวก่อนดีกว่ามั้งคะ” ไม่ต่างกันกับสาวสวยที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกเธอเริ่มรู้สึกว่าผู้หญิง หน้าหวานคนนี้กำลังไม่พอใจอะไรเธออยู่แน่ๆ เธอเองก็เป็นอีกคนที่แทบจะหุบยิ้มตามหมอแอมไม่ทัน
“ฟ้าไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ อยู่คุยกับพี่ก่อนก็ได้ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังตั้งเยอะ” แอมยิ้มให้แล้วฉุดแขนของ หญิงสาวที่เหมือนลังเลว่าควรจะอยู่ต่อดีมั้ยให้นั่งลงข้างๆเธอ
“แต่ว่า....” ฟ้าลังเล มองหน้าของสาวหน้าหวานที่นั่งถัดไป ที่พอเมื่อเธอมองเจ้าตัวก็รีบค้อนหลบสายตาเอาเสียอย่างนั้น
“นะคะ อยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนพอดีมีบางคนเค้าคงไม่ค่อยอยากคุยกับพี่แอมเท่าไรน่ะค่ะ ฟ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนนะคะ” แอมพูดเสียงหวานอ้อนๆ เล่นเอาอาคิราหันควับมามองค้อนให้ ที่แอมพูดนั้นถ้าไม่ได้หมายถึงเธอก็คงจะไม่มีใครแล้วล่ะ
“ตามสบายนะคะ” อาคิราตอบเสียงห้วนสะบัดค้อนงามๆ แล้วลุกพรวด เดินปึงปังไปหาสองตัวแสบที่ยังเล่นน้ำกันอย่างสนุกแทน
Kiss me Killi me 06
มือเล็กไขกุญแจดอกใหญ่ออกแล้วผลักบานประตูเหล็กเข้าไป สายลมแผ่วเบาพัดกระดิ่งลมที่แขวนไว้ในสวนส่งเสียงกรุ้งกิ้งราวกับกำลังต้อนรับหญิงสาวกลับบ้าน นัยน์ตากลมโตมองไปรอบๆจนไปสะดุดเข้ากับต้นไผ่ลำสูงที่ปลูกไว้ริมรั้ว
...ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านพักหลังใหม่ของป้าเข้าออกเช้าเย็นอยู่ทุกวันไม่เคยสนใจสวนเล็กๆนั่นเลย แต่ฟาก็เพิ่งสังเกตเห็นวันนี้ว่าที่นี่มีต้นไผ่ด้วยแถมยังแขวนกระดิ่งลมไว้อีกต่างหาก
เห็นต้นไผ่ทีไรชวนให้นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาทุกที....
หญิงสาวหยิบมือถือเครื่องจิ๋วขึ้นมาเปิดดูวันที่ วันนี้เป็นวันที่7 กรกฎาคม สำหรับประเทศไทยก็คงเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งในเดือนนี้ แต่ตามประเพณีของประเทศญี่ปุ่น วันที่7เดือน7ของทุกปีคือวัน ทานาบาตะ อันมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับการขอพรและอธิษฐานเพื่อให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักวันนี้
สาวหน้าหวานอมยิ้มส่ายหน้าไปมา
..อย่างน้อย ก็มีลูกพี่ลูกน้องของเธอคนหนึ่งล่ะที่เชื่อ...จนถึงขั้นงมงายเลยละมั้ง
“ทานาบาตะปีนี้ พี่เนยคงทำอะไรลมๆแล้งๆเหมือนเดิมอยู่สินะคะ” ฟาทอดสายตาเหม่อมองต้นไผ่พลิ้วไหวไปตามแรงลม
........................................................................................................................
ชุดวันพีชสีหวานถูกโยนลงบนที่นอนลายน่ารักที่เกลื่อนไปด้วยเสื้อผ้า เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมนุ่มที่อยู่ใกล้ๆเตียงนอน ใบหน้าใสเง้างอพลางยกปลายนิ้วยกขึ้นจรดริมปากครุ่นคิด
“ให้ตายสิ ไม่มีชุดไหนที่ใส่แล้วมันจะยั่วได้บ้างเลยรึไง” ฟาเม้มริมฝีปากมองเงาสะท้อนใบหน้าหวานของตัวเองผ่านกระจก เพราะหน้าตาน่ารักให้ความรู้สึกน่าถนุถนอมทำให้แต่งตัวออกมาได้แบบสาวหวานอย่างเดียว เธอถอนหายใจสะบัดตัวลุกขึ้นไปหยิบชุดหนึ่งออกมาจากตู้ที่โล่งไม่มีอะไรเหลือแล้ว
“ตัวนี้คงพอไหวล่ะมั้ง...” มือเล็กๆจับเสื้อเกาะอกมาทาบที่ตัว เสื้อเกาะอกตัวนี้เป็นของขวัญจากลูกพี่ลูกน้องคนสำคัญ เลยโดนแขวนไว้ด้านในสุดเพราะเป็นเสื้อผ้าแหวกแนวที่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง
คืนนี้มีแผนการสำคัญ ถึงจะไม่ใช่คนสวยแต่เธอก็มั่นใจในความน่ารักของตัวเองมาก
มีลุ้นแน่คืนนี้....
พอคิดถึงตอนที่ได้เห็นสีหน้ายอมจำนนยกให้ทุกอย่างของยัยหัวแดงแรงฤทธิ์นั่นก็อดยิ้มไม่ได้ ยิ่งคิดใบหน้าหวานก็ยิ่งเผยรอยยิ้มปีศาจน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ
.....เดี๋ยวก็รู้...... ว่าใครจะแน่กว่ากัน
วันนี้ฟาแต่งหน้าแบบบางๆเน้นให้ดูเป็นธรรมชาติ เริ่มจากรองพื้นด้วยแป้งเนื้อสีเดียวกับสีผิวตัวเอง ใช้บลัดออนสีชมพูอ่อนๆปัดที่แก้ม แต่งตาโดยดัดขนตาธรรมดาแล้วทำไฮไลท์ด้วยสีขาวเน้นให้ตาเด่น ส่วนริมฝีปากอิ่มใช้ลิปสีนู๊ดทาเวลาโปรยยิ้มทำให้ได้อารมณ์หวานปนเซ็กซี่หน่อยๆ ผมยาวสลวยถูกรวบมัดไปด้านข้างแล้วมัดด้วยยางรัดผมแต่งระบายลูกไม้สีหวาน ส่วนเสื้อเกาะอกสีขาวพอดีตัวที่เลือกแล้วเลือกอีกก็เผยให้เห็นผิวขาวเนียนและเนินอกที่ชวนมอง ยิ่งแต่งคู่กับกระโปรงยีนส์สั้นโชว์เรียวขางาม..ลงตัวสุดๆ เมื่อมองดูความเรียบร้อยผ่านกระจกสาวหน้าหวานก็ยิ้มเรียกความมั่นใจก่อนจะหยิบสร้อยเงินราคาแพงที่ได้จากคู่อาฆาตมาใส่
...ครบเซท...น่ารักแอบเซ็กซี่...สมบรูณ์แบบ เป็นการมิกซ์แอนด์แมชที่ลงตัวสุดๆ ที่เหลือก็คงต้องทุ่มสุดตัวสุดฝีมือเพื่อจะทำให้ยัยคนแรงๆนั่นตายใจแล้วตกหลุมพราง
........................................................................................................................
หน้าโรงหนังตอนพลบค่ำ สาวอวบในสุดเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกระโปรงพลิ้วแต่งตัวได้ธรรมดาสุดๆยืนลังเลใจหันซ้ายหันขวา ข้างๆกันคือสาวเซอร์แต่งตัวด้วยลุคเสื้อยืดพอดีตัวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์สีซีดแถมด้วยรองเท้าแตะ
“โครตจะเด่นเลย นี่แต่งตัวมาดูหนังแน่เร๊อะ” โซดาแค่นยิ้มมองดูสาวหน้าหวานที่ยื่นเด่นอยู่หน้าโรงหนัง ขนาดคนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างแมวน้ำยังไม่กล้าเข้าไปทักได้แต่ชั่งใจ
“ซะ..โซดา...ไปหาฟากัน...” สุดท้ายมืออวบก็พยายามดึงลากคนข้างๆที่ยืนตัวแข็งสุดชีวิตให้ไปด้วยกัน
สาวสวยที่เพิ่งลงจากรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนนเห็นภาพแมวน้ำกำลังลากเพื่อนถูลู่ถูกังอยู่ เลยเดินเข้าไปหาทั้งสองเงียบๆ นัยน์ตาสีเทาเลยมองไล่ตามสายของเพื่อนหุ่นไซส์ปุ้มปุ้ยไปยังด้านหน้าโรงหนัง
เอาซะเด่น...นี่แอ๊บเซ็กซี่รึไง?
“เข้าใจแต่งตัวมาดูหนังนิ....” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้สองสาวหันมามอง
สาวสวยที่ใครๆต่างพากันคิดว่าต้องแต่งได้เลิศที่สุด ดันสวมเสื้อตัวใหญ่สีเทาที่ชายสั้นกว่าทับเสื้อตัวยาวสีน้ำตาลด้านใน ถึงจะสวมคาร์ดิแกนสีหวานตัวสั้นที่สุดทับแต่ก็แอบเซ็กซี่เพราะแทบมองไม่เห็นชายกระโปรงสั้น เลคกิ้งสีดำสนิทช่วยเบรกไม่ให้ดูโป๊ะแถมยังดูเท่หน่อยๆเมื่อใส่เข้ากับรองเท้าบู๊ทสีดำเนื้อมันวาว ส่วนผมสีเพลิงเด่นสะดุดตาถูกรวบเป็นเปียเก็บสวยงาม ใบหน้าสวยๆแต่งตาให้ดูเชี่ยวเน้นความมั่นใจเต็มที่
แมวน้ำอึ้งไป3วิตะลึงกับลุคเรียบง่ายแต่สะกดสายตา ส่วนโซดาถึงกับพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มที่มุมปาก
“ไม่เข้าไปหาล่ะ” มิ้นเลิกคิ้วหันมาถาม
“ยังไม่อยากเป็นเป้าสายตาน่ะ” เสียงแหบๆตอบแทนคนข้างๆที่ยืนไบ้กิน
“จะทุ่มครึ่งแล้วเข้าไปเอาตั๋วหนังกัน มีคนซื้อไว้ให้แล้ว” สาวสวยบอกก่อนจะเดินนำไปหาอีกคนที่ยืนเด่นอยู่
แต่นัยน์ตาสีเทาเห็นชายสองคนกำลังคุยกันอยู่แถมยังส่งสายตาหื่นกามมองฟาชนิดมองจนทะลุเสื้อผ้าไปถึงกระดูกได้เลย ริมฝีปากบางเลยเม้มเข้าหากันพร้อมกับใบหน้าสวยแสดงสีหน้าไม่พอใจ
ไวกว่าความคิดมิ้นรีบเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยิ้มหวานรออยู่
“มิ้นจ๋า....”
นัยน์ตากลมโตมองการแต่งตัวที่ธรรมดาแต่เก๋มีสไตล์ของสาวผมแดงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจรอบข้างเลยไม่รู้ว่าตัวเองโดนมองด้วยสายตาหื่นกระหายอยู่
อีคาร์ดิแกนตัวนี้อีกแล้ว ท่าทางจะชอบซะจริ้งใส่มาอยู่ได้...
คนตัวเล็กได้ทีเดินเข้าไปออดอ้อน ถึงจะหมั่นไส้แต่ก็ต้องเก็บไว้ก่อนยิ้มหวานเข้าใส่แทน
มิ้นตวัดสายตามองชายสองคนที่ยังมองไม่เลิก ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดเลยโอบไหล่คนน่ารักข้างๆโชว์ซะเลย ฝ่ายคนโดนกอดตกใจสะดุ้งน้อยๆ
..มะ..มือไวไปไหม ห๊ะ!
ฟาหลุดสีหน้าหวั่นๆออกมาแต่ก็รีบยิ้มหวานกลบเกลื่อนได้ทัน
ภาพที่เห็นผ่านสายตาทำให้แมวน้ำแค่นหัวเราะ ฝ่ายโซดาได้แต่ยิ้มที่มุมปากที่ได้เห็นนิสัยอีกมุมของคนแรงๆอย่างมิ้น
“แมวน้ำ โซดาเข้าไปข้างในกัน” สาวสวยเรียกให้เพื่อนเดินตามเข้ามา แต่ดันมีตัวแถมเพราะผู้ชายสายตาหื่นสองคนนั้นเดินตามสี่สาวเข้าไปในโรงหนังด้วย
........................................................................................................................
ขนาดเดินเข้ามาในโรงหนังผู้ชายสองคนนั้นยังเดิมตามอยู่ มิ้นเม้มปากแถมความหงุดหงิดก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เธอเลยจงใจพาเพื่อนเดินไปทางห้องน้ำ อีก500เมตรจะถึงห้องน้ำหญิงแต่คนที่ตามก็ยังตามไม่เลิก สาวสวยเลยหยุดเดินเอาดื้อๆจนสามสาวที่เดินตามมาแทบเบรกไม่ทัน ฟาที่เดินตามติดๆชนเข้ากับคนตัวสูงก่อนใครเพื่อนเลยมีอาการหน้างอขมวดคิ้ว
“มิ้นหยุดทำไมเหรอ?”
ใบหน้าหวานรีบปั้นหน้ายิ้มเงยขึ้นมองคนที่หยุดเดินด้วยความสงสัย
ไม่มีคำตอบจากเจ้าของเรือนผมสีเพลิง นอกจากสองมือที่ถอดเสื้อคาร์ดิแกนจากตัวเองมาสวมคลุมเกาะอกอันล่อตาล่อใจของคนตัวเล็กจนได้สโตกเกอร์สองหน่อเดินตาม
นัยน์ตาคู่คมตวัดไปทางรัศมีสายตาหื่นๆ พอไม่มีวิวดีๆให้มองชายสองคนก็มีสีหน้าเสียดาย
“เดินตามกันขนาดนี้ จะตามไปจนถึงตอนเข้าห้องน้ำเลยไหมคะ” คำถามทั่วไปกับรอยยิ้มธรรดมากลายเป็นคมมีดและรอยยิ้มร้ายๆกรีดใจให้คนถูกถามได้สะดุ้งทันที แถมยังเรียกสายตาประณามจากผู้หญิงมากมายที่เดินผ่านไปมาอีก สุดท้ายพวกเขาก็รีบจ้ำหนีไปด้วยความอับอาย
ฟาถึงกับอึ้ง ขนลุกทั้งตัวเมื่อเพิ่งมารู้ตัวว่ากลายเป็นอาหารตาของใครที่ไหนก็ไม่รู้ ยังดีที่ได้คนตรงหน้าช่วยเอาไว้
ช่วย..เหรอ? เฮอะ....ใครเค้าขอร้องให้ช่วยยะ! จะเอาคำขอบคุณเรอะฝันไปเถอะ
“ฟะ..ฟา...ไม่รู้ตัวเลยว่าเค้ามอง..กลัวจัง”
ได้ทีก็แอ๊บหวาดกลัวสุดขีดตรงเข้ากอดมิ้นใหญ่แถมยังซุกหน้าลงกับหน้าอกคนตัวสูงอีก
“คราวหน้าก็คิดหน่อยก่อนจะแต่งอะไรมา เดี๋ยวจะโดนฉุดเข้าป่าข้างทางมาไม่ถึงโรงหนังเอา!”
... จะมากไปแล้วนะ ยัยบ้า !!
ฟาถึงกับเซถอยห่างรีบหันหน้าหนี มือเล็กกำแน่น นี่ถ้าตบได้จะตบให้หน้าหงายไปเลย!
“เอ่อ เห็นมาทางห้องน้ำไม่เข้าห้องน้ำกันเหรอ งั้นเราเข้าห้องน้ำก่อนนะ” แมวน้ำที่เริ่มเห็นท่าทีไม่ดีเลยพูดขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอืดอัด
“งั้นไปเอาตั๋วก่อนนะ” สาวสวยออกตัวแล้วเดินกลับไปที่จุดขายตั๋ว ส่วนฟาได้แต่เดินตามสาวอวบเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ เหลือแต่โซดาที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ
……………………………………………………………………………………………………………
มิ้นมองตั๋วหนังในมือแบบเซ็งๆ คิดผิดจริงๆที่ให้พ่อบ้านตัวดีผู้ชื่นชอบหนังผีเป็นชีวิตจิตใจจัดการเรื่องนี้ให้ แทนที่จะได้ดูหนังใหม่สนุกๆ เลยได้ดูหนังผีเข้าใหม่ไปซะแบบนั้น
...เอาเถอะไหนๆก็ซื้อไปแล้ว ไปนั่งดูหน่อยล่ะกัน คิดซะว่าไปดูหนังกับเพื่อน...ไม่สิ เพื่อนสองคนกับคนที่น่ารังเกียจอีก1
เรียวปากบางยิ้มก่อนจะเก็บตั๋วใส่กระเป๋ากระโปรงยีนส์สุดสั้นโดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาของใครบางคนมองอยู่
“อ่าว นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็น้องมิ้นนี่เอง ไงคะ สบายดีไหมคะ”
เรียกระคายแก้วหูดังขึ้นเบื้องหลังให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง
สาวรุ่นพี่หน้าโบกเครื่องสำอางหนาๆกับเสื้อคอกว้างที่คว้านจนก้มทีแทบจะมองเห็นสะดือได้ ไหนจะกระโปรงสั้นๆที่ไม่เข้ากับวัยนั้นอีก แทนที่จะดูสวยเปรี้ยวกับดูพิลึกๆเหมือนคนพยายามจะทำสวยมากกว่า
“อ่าวนี่หลุดมาจากแหล่งไหนเหรอคะ พี่แหวน”
ใบหน้าสวยเยียดยิ้มใส่อดีตคู่ควงคนที่เท่าไรก็ไม่รู้ เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรจำได้ว่เป็นคู่ควงนี่ก็บุญแล้ว
“ต๊าย ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะ พอดีพี่มาดูหนังกับแฟนใหม่ค่ะ เนี่ยเพิ่งช็อปหมดไป3หมื่นกว่าๆ”
แหวนพูดแล้วมองไปทางสาวหล่อร่างท้วมผิวเข้มหน้าตาบ้านๆแต่แต่งตัวภูมิฐานที่ยืนเข้าแถวซื้อตั๋วหนังอยู่
“จะมีใหม่ทั้งที หาที่ดูดีได้ซักครึ่งของมิ้นหน่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวเค้าจะรู้ตัวเอาว่าพี่รักเค้าที่ เงิน ” เสียงเรียบเน้นหนักตรงคำว่าเงิน แทบทำให้คนฟังเต้นเป็นเจ้าเข้า
“เหรอคะ แล้วสวยๆอย่างน้องมิ้นเนี่ย หาใครเป็นตัวเป็นตนได้รึยังล่ะคะ รึแจกจ่ายทั่วถึงคนนั้นคนนี้ไปวันๆ”
มิ้นยิ้มใส่เลื่อนมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทีไม่พอใจเท่าไร ฝ่ายคนหาเรื่องยิ้มสะใจจนออกนอกหน้า
ภาพสถานการณ์ที่สาวสวยโดนใครที่ไม่รู้มาคุยด้วยทำให้ฟาเม้มริมฝีปาก
ยัยผู้หญิงหน้าเหมือนงิ้วนี่มันใครเนี่ย อย่ามายุ่งกับเหยื่อ(?)ของคนอื่นจะได้ไหม วันนี้อุส่าลงทุนแต่งแหวกแนวน่ารักมาแทบตายเรื่องอะไรจะให้หมาที่ไหนไม่รู้คาบไปกินกันเล่า
“รอนานไหมคะมิ้น”
จู่ๆเสียงหวานก็ดังขึ้นขัดความร้อนระอุ พร้อมกับสองแขนที่ตรงเข้าโอบกอดคนตัวสูงจากข้างหลัง
ฟายิ้มหวานปรายตามองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาดูถูก ทั้งความน่ารักทั้งความสาวและท่าทางออดอ้อนนั่นทุกอย่างมันลงตัวเกินไปแล้ว สาวรุ่นพี่อย่างแหวนไม่มีอะไรจะสู้ได้ซักนิดทำได้เพียงมองจิกสายตาใส่สู้ตายแบบหมาจนตรอก
“อ่าวฟาไปไหนแล้วล่ะ?” แมวน้ำหันซ้ายมองขวาหาคนตัวเล็กที่เดินออกมาก่อน
“โน้น ไปโน้นแล้ว” โซดาโบ้ยหน้าไปทาง มิ้นที่ยืนเผชิญหน้ากับสาวรุ่นพี่แถมมีฟาเกาะแกะอยู่ด้วย
“มิ้นยืนอยู่กับใครน่ะ ท่าทางไม่ดีเลย” พูดจบสาวอวบก็คว้ามืออีกคนไปด้วยความร้อนลน
ก่อนที่แมวน้ำจะลากโซดาเข้าไปกลางดงสงคราม มือเรียวก็ดึงตัวคนข้างหน้าให้เป็นเชิงหยุด
“รออยู่แค่ตรงนี้เถอะ”
“เอ๋!?”
ใจหนึ่งก็อยากเดินเข้าไปช่วยเพื่อนแต่ก็อยากฟังที่โวดาพูดด้วยเหมือนกัน
“มีฟาอยู่ด้วยแบบนั้นมิ้นไม่เป็นไรหรอกน่า รอฟังรอดูอยู่ตรงนี้ดีกว่า”
สาวเซอร์บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนอะไร ท่าทีที่ใจเย็นเกินชาวบ้านชาวเมืองทำให้คนใจร้อนล้นยอมฟังและทำตาม
กลับมาที่แวดวงของสามสาวที่ยืนมองหน้ากันเด่นอยู่กลางทางเดิน
“ใครเหรอคะมิ้น”
ฟาเปิดฉากก่อนด้วยการยิงคำถามตรงๆออกมา
มิ้นเลิกคิ้วกับกากระทำเกินจะคาดเดาของยัยแอ็บตัวแม่ นี่คนสวยต้องรับศึกทีเดียวพร้อมกันสองทางเลยเรอะ! แต่ลองดูซักตั้งก็ไม่เสียหายอะไรนิ?
“คู่ขาเก่าน่ะ เสียงดังน่ารำคาญเลยเลิก”
สาวหน้าหวานยิ้มไม่ออก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนทุบด้วยคำพูดจนมึน เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนสวยเลือกได้อย่างยัยนี่จะเป็นพวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันไปได้ แถมยังกล้ายอมรับออกมาแบบตรงๆอีก
ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้ม
“แหมมิ้นก็ เล่นคบไม่เลือกเลยนะคะ” ฟาเอียงคอหน่อยยกมือขึ้นจรดริมฝีปากแอ๊บน่ารักสุดๆ “ไม่รู้นะคนอื่นอาจจะมองว่าพี่เค้าสวย แต่ฟาว่าต่ำกว่ามาตรฐานเกินรับไหวน่ะ” ใบหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนางมารน้อยโปรยรอยยิ้มเคลือบยาพิษให้
คบไม่เลือก เป็นคำเหน็บแหนมว่าคนหัวแดงมั่วไปทั่วสวยไม่สวยขอเป็นผู้หญิงคั่วหมด ส่วนต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นคำพูดที่เหมือนคมมีดกรีดใจคนฟังอย่างแหวนให้รู้ตัวว่าไม่มีอะไรมาเทียบระดับกันได้ รู้ตัวไว้ซะว่ามีแต่แพ้กับแพ้ คนที่แพ้ยับเยินเลยได้แต่เจ็บใจจนกัดปากแน่น
เหอะ... ร้ายนี่เล่นเชือดทีเดียวพร้อมกัน มิ้นหัวเราะในลำคอ
ตอนนี้สามสาวเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป ในที่สุดคนแพ้ก็รีบจรลีถอยทัพหนีไปดื้อๆ
เมื่อโซดาเห็นทุกอย่างสงบลงแล้วจึงเลิกสังเกตการณ์แล้วพาแมวน้ำเดินเข้าไปหาสองสาว
“เข้ากันดีนิ หนึ่งแรง หนึ่งร้าย” สาวเซอร์แค่นยิ้ม
“ก็ยอมรับว่าแรง” เรียวปากบางยิ้มรับคำเพื่อน
ส่วนคนหน้าหวานถึงกับรีบออกตัว “ใครร้ายเหรอ? อ๋อผู้หญิงคนเมื่อกี้ใช่ไหม ฟาก็ว่าเค้าร้ายนะ” ยัดเหยียดความร้ายกาจให้คนแพ้ที่หนีไปทันที
“คงงั้นมั้ง” โซดาได้แต่ยิ้มๆยอมเฉไฉตามน้ำไป
“มิ้น รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันหนังฉายนะ” สาวหน้าหวานรีบเปลี่ยนเรื่องเขี่ยคำว่าร้ายไปให้พ้นตัว
“อืม ไปรอหน้าทางเข้าที่โรง3กัน” ฟาเลิกคิ้วแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมให้ควงแขนไม่มีท่าทีปฏิเสธแถมยังพาเดินไปเองซะอีก
ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้ม รึแผนจะสำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว!
........................................................................................................................
บริเวณหน้าโรงหนังหมายเลข3 ก็เห็นคนไปมุงกันเต็มไปหมด ตรงกลางฝูงชนมีมีกระถ่างใส่ต้นไผ่สูงราวๆ2เมตรตั้งเด่นสะดุดตาไว้ แถมยังมีเจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆกัน บนโต๊ะมีกระดาษหลากสี กับดินสอ ปากกา สีเมจิกให้บริการฟรี
“วันนี้วันทานาบาตะค่ะ เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่น เค้าเชื่อกันว่าถ้าเขียนขออะไรก็สมหวัง ถ้าสนใจก็มาเขียนคำอธิษฐานแล้วมาผูกที่ต้นไผ่ได้นะคะ ” พนักงานหญิงประชาสัมพันธ์บอกลูกค้าทั้งสี่ที่เพิ่งเดินมาถึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“น่าลองจัง เขียนว่าขอให้ผอมๆดีไหมเนี่ย” แมวน้ำบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแถมยังเดินไปหยิบกระดาษก่อนใคร
“กินแหลกแบบนี้ชาติหน้าคงผอม” โซดารีบพูดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“งั้นก็ขอให้ตัวเองพูดเยอะๆเหมือนชาวบ้านเค้าซะสิ ไอ้ตัวพูดน้อย” แมวน้ำตอบโต้กลับด้วยท่าทีหมั่นไส้
ฟาที่เห็นเพื่อนสองคนแหย่กันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงหัวเราะที่ไร้การเสแสร้งทำให้มิ้นยิ้มออกมาด้วย พอรู้ตัวว่าโดนมองคนตัวเล็กเลยหันมาหาเจ้าของเรือนผมสีเพลิง
“ฟา จะเขียนว่า ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุข มิ้นจะเขียนว่าอะไรเหรอ”
ริมฝีปากอิ่มโปรยยิ้ม
....ขอให้ทุกคนมีความสุข! สมกับเป็นยัยแอ๊บแตกจริงๆ
“ว่าจะเขียนขอให้ไม่มีคนเสแสร้งน่ะ”
นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงพร้อมกับเรียวปากบางเหยียดยิ้มทำเอาคนที่แอ๊บมาเต็มที่ถึงกับหุบยิ้มรีบหันหน้าหนี
........................................................................................................................
Kiss me Kill me Tanabata
ตอนพิเศษ
TANABATA
ทานาบาตะ
................................................................................................................
“เรื่องครั้งนี้
ผมผิดเองที่ไว้ใจคูมากเกินไป ทั้งที่คูยังอ่อนประสบการณ์อยู่แท้ๆ” ชายชราในชุดสูทภูมิฐานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยตามไปวัยพยายามซ่อนอารมณ์หม่นหมองเอาไว้
เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม
“ดิชั้นก็มีส่วนผิดค่ะทั้งทีเป็นเลขาทำงานอยู่ใกล้คุณคูที่สุด
แต่ดิชั้นกลับเป็นประโยชน์อะไรให้คุณคูไม่ได้เลย ” หญิงสาวในชุดสูทสุภาพบอก
ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบางๆก้มลงราวกับต้องการจำนนต่อความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น
สองมือกุมประสานบีบแน่นอยู่บนตัก
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างชั่งใจ
....ในที่สุดหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“คุณ คันซากิ คะ
ให้ดิชั้นมีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยเถอะค่ะ” เธอก้มศีรษะโค้งลงโน้มไปข้างหน้า
แสดงถึงความตั้งใจขจริงที่พร้อมมือกับปัญญา
“จิรวดีซังคุณเป็นเลขาที่ดีมาก
ทำงานได้เยี่ยมยอดไม่เคยทำให้คูกับผมผิดหวังเลย แต่
คู ยืนกรานว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเค้าเอง
เลยขอรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง”
เขายิ้มเอ็นดูหญิงสาวเหมือนครั้งที่แรกที่ได้พบกัน
“จิรวดีซัง
ผมรักคุณเหมือนที่รักคู ผมรู้ว่าคุณรักและหวังดีกับคูจริงๆ
แต่ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของคูที่จะกลับไปตระกูลคันซากิด้วยตัวเอง
ถึงคุณจะเป็นคนนอกแต่คูบอกเรื่องธรรมเนียมภายในของตระกูล คันซากิ
ไว้แล้วสินะ”
“ค่ะ....ดิชั้นทราบค่ะ” ใบหน้าสวยเสสายตามองไปทางอื่น
.......................................................................................................................
“พี่...”
“พี่เนยคะ...”
ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆหันมาตามเสียงเรียก
“จ๋า”
เสียงหวานขานรับ
พร้อมระบายรอยยิ้มให้เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พี่เนยก็
ฟาเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว ใจลอยไปไหนคะ” คนตัวเล็กทำแก้มป่องเอียงศีรษะไปมาจนพี่สาวคนนี้อดจะยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“พี่ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” จิรวดียิ้มให้ลูกพี่น้องที่เอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ
โกหกไม่เนียนเลยนะพี่เนย....ใครที่ไหนก็รู้ว่าพี่คิดเรื่อง
ยัยคุมิโกะอยู่ ยัยผู้หญิงเห็นแก่ตัวทำเป็นเอาความรับผิดชอบมาอ้าง
สุดท้ายก็ทิ้งพี่เนยไปอยู่ดี...!
“เดือนหน้าพี่เนยจะไปเล่นต่อป.โทที่อังกฤษแล้ว
ฟาคงเหงาแหย่เลย”
เจ้าตัวเล็กทำหน้าหงอยๆเรียกร้องความสนใจ
“เพื่อนเราก็ออกจะเยอะแยะ
พี่ไม่อยู่แค่คนเดียวไม่เหงาหรอก...จริงไหม” หญิงสาวยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กของญาติผู้น้องเอา
พอสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตของเด็กสาวก็เหมือนโดนอ่านความคิดจนต้องเสสายตามองไปทางอื่น
…ไปอยู่ไกลๆก็ดี
จะลืมยัยนั่นแล้วก็มีแฟนใหม่ดีๆกว่าไปเลย
“ถึงฟาจะเหงา...แต่ไมเป็นไรคะ
เราคุยกันผ่านเฟสก็ได้”
ใบหน้าใสๆระบายยิ้ม
“พี่ไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้วเอาแต่คอยคูจังฝ่ายเดียวน่ะ” พี่สาวคนสวยยิ้มเศร้าๆ
ให้ตายสิอะไรจะรักมั่นขนาดนั้น
พี่เนยคะ! รักจริงมันไม่มีบนโลกนี้หรอกค่ะ ตาสว่างซักทีเถอะ
“พี่เนยเป็นแฟนที่ดีมากเลยนะคะ
ขนาดเค้าบอกว่าต้องกลับไปรับผิดชอบกับบ้านใหญ่ แค่บอกให้รอพี่ก็ยังรอ
นี่ก็3ปีแล้วตั้งแต่พี่ไปส่งเค้าวันนั้น
เคยได้คุยกันอีกไหมล่ะค่ะ แต่ก็ยังรอ
ฟาว่าพี่ดีมาก...จนดีเกินไปสำหรับเค้าแล้วล่ะค่ะ”
เด็กสาวพยายามยิ้มหวานกลบเกลื่อนถ้อยคำแฝงการประชดประชัน
เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจและตอกย้ำให้คิดไปพร้อมกัน
จิรวดีได้แต่ยิ้มเศร้าๆกับคำพูดที่ให้กำลังใจและตอกย้ำให้คิดไปพร้อมกัน
“พรุ่งนี้วันที่ 7 กรกฏาแล้วนะ
ทานาบาตะไงจ๊ะ”
ก่อนบทสนทนาจะเลวร้ายลงไปกว่านี้
คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ฟามาเขียนอธิษฐานกับพี่ที่บ้านไหม”
“ ฟาว่ามันก็แค่ความเชื่อตามตำนาน
จะเป็นจริงได้รึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
กุลธิดารู้ดีว่า
พี่เนยของเธอเขียนขอพรให้คนรักกลับมาทุกวันทานาบาตะ....ทั้งที่รู้ว่ายิ่งทำก็ยิ่งเจ็บ
ทำไมยังงมงามทำอยู่ได้ ก็แค่สร้างความหวังให้ตัวเองว่า เค้าจะกลับมา
“แต่พี่เชื่อนะ....ถึงมัจจะเหมือนปลอบใจตัวเองก็เถอะ” ใบหน้าสวยเผยยิ้มเศร้าๆ
ถ้าพี่เนยไม่ตาสว่างคงจมอยู่กับความหวัง
ลมๆแล้งๆอยู่แบบนี้ล่ะ
“ค่ะ
ถ้าเป็นจริงได้ก็คงดีนะคะ”
ฟายิ้ม
แต่หรี่ตาลงได้แต่มองอีกคนที่เดินนำไปก่อน
........................................................................................................................
พรุ่งนี้คือวันที่
7
กรกฎาคม
ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น คือวัน ทานาบาตะซึ่งมีตำนานแสนเศร้า
คือเรื่องราวของ โอริฮิเมะ
เจ้าหญิงทอผ้าได้สวยงาม แต่นางสนใจในงานทอผ้ามากไปจนไม่มีคู่ครอง
กระทั้งบิดาซึ่งเป็นเทพผู้ครองสวรรค์ ได้เห็นความขยันขันแข็งและความดีของฮิโบโกชิชายหนุ่มคนเลี้ยงวัวแห่งแม่น้ำสวรรค์
จึง ยินยอมให้ โอริฮิเมะลองได้พบกับ ฮิโบโกชิ
หลังจากทั้งคู่ตกหลุมซึ่งรักและกันจึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่ทั้งสองลุ่มหลงในความรักจนลืมหน้าที่ที่สำคัญของตัวเอง
โอริฮิเมะไม่ยอมทอผ้า ฮิโบโกชิก็ไม่ยอมดูแลวัว
ปล่อยให้ฝูงวัวไปหาอาหารกินเองกระจายกระจายไปทั่วจนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมด
เมื่อเทพผู้ครองสวรรค์รู้เกิดความพิโรธได้ลงโทษให้ทั้งสองแยกจากกัน
โดยมีทางช้างเผือกเป็นปราการขวางกั้นกลางเอาไว้เพื่อไม่ให้โอริฮิเมะกับฮิโบโกชิได้เจอกันอีกชั่วนิรันดร์
เจ้าหญิงจึงเริ่มทอผ้าอีกครั้ง
ส่วนชายคนเลี้ยงวัวก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
จนเทพสวรรค์คลายความโกรธจึงยอมเปิดทางช้างเผือกที่เป็นกำแพงกีดขวางให้หายไปวันที่ 7เดือน 7ของทุกปีที่มีเพียงปีละ1ครั้ง
เพื่อให้ทั้งสองได้มาพบกันอีกครั้ง
ฉะนั้นในวันนี้ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น
จะเขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษแล้วนำไปผูกไว้กับต้นไผ่ก็จะทำให้คำอิษฐานหรือความปรารถนาเป็นจริง
….เรื่องราวความรักของเธอเองก็แทบจะไม่ต่างจากตำนาน
ทานาบาตะเท่าไรนัก เริ่มจากตอนฝึกงานก็เป็นถูกอกถูกใจของ Mr. คันซากิ 1ในกรรมการผู้บริหารของบริษัท
จนถูกดึงตัวไปช่วยงานและได้พบกับ คันซากิ คุมิโกะ
ลูกสาวคนสวยของคุณ คันซากิ
ด้วยความใกล้ชิดกันจึงเกิดเป็นความรักขึ้นมา ทั้งตัวเธอและ
คุมิโกะต่างก็รักซึ่งกันและกัน เป็นคู่คิดที่ดีต่อกันมาตลอด
แต่ด้วยเพราะประสบการณ์และอายุยังน้อยของทั้งคู่
ทำให้โปรเจคสำคัญของบริษัทล้มเหลวเกิดความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล
ส่งผลกระทบต่อตระกูล คันซากิ
....คุมิโกะที่แบกรักทุกอย่าง
แบกรับบาปและความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียว
ได้ตัดสินใจกลับไปทำงานที่บ้านต้นตระกูล ซึ่งมีกฎสำคัญคือ
ต้นตระกูลให้ความเป็นอิสระกับลูกหลายทุกเชื้อสาย
หากมีคนในตระกูลทำความผิดขึ้นมาต้องกลับเข้ามาทำงานรับใช้ต้นตระกูลจนกว่าจะพิสูนจ์ตัวเองให้ต้นตระกูลเห็น
ว่าตนเองพร้อมจะออกไปจากตระกูลใหญ่อีกครั้ง
เธอยังจำครั้งสุดท้ายที่ไปส่งคนรักที่สนามบิน
“เนจัง ต้องรอ คูนะ
คูจังจะกลับมาหาแน่นอน สัญญานะว่าจะรอ คูรัก เนจังมากนะ”
คันซากิ
คุมิโกะ หญิงสาวเคยผู้ทรงอำนาจในคันซากิกรุ๊ป เป็นผู้บริหารฝีมือดี
สุขุม และเยือกเย็น ตอนนี้กลาบกลายเป็นเพียง
ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแต่อารมณ์แห่งการสูญเสีย
“ค่ะ เนยจะรอคูจัง”
จิรวดีได้แต่เก็บซ่อนความเสียใจพยายามส่งคนสำคัญด้วยรอยยิ้ม
“ทุกๆวันที่7เดือน7 เป็นวันทานาบาตะ
วันที่โอริฮิเมะกับฮิโกโบชิที่ถูกพรากจากจะได้มาเจอกัน เรา
มาเขียนคำอธิฐานกัน ขอให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันไวๆเหมือนเดิม
คูเชื่อนะ เชื่อในวันทานาบาตะ”
สองมือที่เย็นเฉียบบรรจงจับมือเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้เบาๆ
“เนยก็เชื่อค่ะ” หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่นัยน์ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำ
“คูรัก เนจังนะ
รักมากที่สุด”
จุมพิตสุดท้าย
แม้นจะเกิดขึ้นท่ามกลางสายตามากมายของผู้คนที่เดินผ่านไปมาในสนามบิน
แต่วินาทีนี้เธอไม่สนใจใครอีกแล้ว ในใจได้แต่ภาวนาให้เวลาหยุดนิ่งลงตรงนี้
เพื่อจะไม่ต้องพลัดพรากจากกันเพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักตลอดไป......
........................................................................................................................
7 กรกฏาคม เวียนมาครบรอบปีที่4แล้ว
ต้นไผ่ที่แตกกิ่งก้านชูลำต้นสูงใหญ่อยู่ในสวนยังคงถูกใช้เป็นที่เขียนกระดาษที่บรรจุความปรารถนาอันเปี่ยมล้นเหมือนเดิม
ใบหน้าสวยเงยขึ้นมอง
แผ่นกระดาษหลากสีสันมากที่ที่ถูกมัดไว้ตามกิ่งก้านสาขาของไผ่ต้นนี้
ทุกอันเต็มไปด้วยำอธิษฐานและความปรารถนาของเธอทั้งสิ้น
.....
อยากให้อยู่ด้วยกัน...
..อยากเจอ....... ...อยากพบ......
.....หากได้เจอจะกอดเอาไว้แน่นๆไม่ให้หายไปอีกแล้ว...
อยากจะย้อนเวลากลับไป....แก้ไขเรื่องทั้งหมด
.....อยากเจอ....เหลือเกิน...
ร่างเล็กในชุดวันพีชสีขาวทรุดตัวลงบนพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนซึ่งรอบๆตัวเธอยังมีกระดาษที่เขียนคำอธิษฐานเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
นันย์ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำ
.............
ไม่ว่าปีนี้จะเขียนอะไร
....ก็ไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้เลยเหรอ....
.....คูจัง.........
........................................................................................................................
…หญิงสาวตัวสูงในชุดเสื้อโค๊ทสีดำสนิท
ใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยแว่นสีชา
เรียวปากบางเผยยิ้มเมื่อมองดูกระดาษที่เขียนคำอธิษฐานมากมายที่ผูกติดไว้กับต้นไผ่ในสวนแบบญี่ปุ่น
มือขาวซีดเอื้อมไปละใบไผ่เบา
“คุมิโกะซามะ
ได้เวลาไปพบท่านอาวุโสแล้วครับ” ชายหนุ่มร่างกำยำในชุดสูทสีดำสนิทสวมแว่นดำที่ยืนคอยอยู่ข้างบอกเสียงเรียบ
เธอเพียงแต่พยักหน้ารับ
“โชทาโร่ซัง
เชื่อเรื่องตำนานวันทานาบาตะไหม”
“เชื่อครับ” ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะตอบออกมา
มือเรียวจึงเลื่อนขึ้นมาถอดแว่นสีชาออก
ใบหน้าสวยมองกิ่งก้านสาขาของต้นไผ่ที่มีกระดาษเขียนคำอิษฐานผูกเอาไว้เต็มไปหมด
“ฉันก็เชื่อ....”
........................................................................................................................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)