Innocen't devil
เล่ม 1และ 2 ยังมีอยู่นะคะ
 
ราคาหนังสือ
Innocent's devil เล่ม1 185บาท
Innocent's devil เล่ม2 235บาท

1. สำหรับผู้สั่งซื้อ เล่ม 1 และเล่ม2 = 235(เล่ม2)+185(เล่ม1)+17ซองกันกระแทกC4+70(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 507 บาท
2.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 2 = 235+17(ซองกันกระแทก)+50(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 302 บาท
3.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 1 = 185+17+50
รวมต้องชำระ 252  บาท

วิธีการแจ้งโอนเงิน
เลขที่บัญชี 736-2-28423-0
  >>>เช็คชื่อบัญชีดีๆนะคะระวังผิด(Morakot W.)<<<
ธนาคาร กสิกรไทย สาขาย่อยถนนรามคำแหง
--------------------------------
หมายเหตุ : หลังแจ้งการโอนเงินแล้ว
กรุณาอีเมล์บอก(subject : ค่าหนังสือ IND)
เมล์ aphrodite_eve@hotmail.com
1.ชื่อ -นามสกุลที่จะให้จัดส่ง
2หนังสือเล่มที่ต้องการซื้อ ยอดการโอน(ลงท้ายเป็นเศษสตางค์)
3.หลักฐานการโอนเงิน เวลาที่โอน สาขา หรืออะไรก็ได้ที่ระบุว่าท่านเป็นผู้โอนเงิน ทางผู้แต่งจะได้สามารถเช็คได้นะคะ
ปล. มีปัญหาอะไรสามารถ เมล์มาสอบถามได้นะคะ หรือจะทิ้งไว้ในfacebook ก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
 
 
 

13.7.55

Trap of the next Door 07

“เหนื่อยมั้ยครับ”เฟียสหนุ่มน้อยหน้าใส เอ่ยถามบรีซที่ยังง่วนอยู่กับงานกองโต ตอนนี้เจ้านายของเธอไม่อยู่เธอจึงมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตั้งแต่กลับมาจากร้านพิซซ่าเธอแทบจะไม่ได้พักเลย
“อืม เหนื่อยสิเฟียส จะเสร็จเมื่อไรก็ไม่รู้ เฮียติงก็นะ วีนจนเด็กกลัวหมดแล้ว” บรีซว่าขำๆเมื่อเห็นสภาพของเด็กฝึกงานแต่ละคนที่โดนผู้กำกับจอมเฮี้ยบวีนใส “งั้นเดียวเฟียสเอาน้ำมาให้นะ” เขาว่าแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม แค่ได้เห็นหน้าของบรีซในแต่ละวัน แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
“แน่ะๆ” อิงนภาที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังฉากแกล้งแซวเพื่อน
“อะไรของแก” บรีซมุ่นหน้าขณะจัดเอกสารต่างๆอยู่ที่โต๊ะ “จะกินเด็กเหรอจ๊ะ” อิงแอบแซว “จะบ้าเหรอ โอ้ย คิดไปได้” บรีซส่ายหน้าโบกไม้โบกมือรำคานเพื่อนที่ชอบแซวเรื่องของเฟียส “เอ้า แกไม่คิด แต่เด็กมันคิสสสสส”อิงว่าแล้วแกล้งลากเสียงคำว่าคิสยานคางพร้อมห่อปากหลับตาพริ้มท่าทางจะจูบบรีซ
“ยังไม่เลิกเดียวแม่โบกหัวทิ่ม” บรีซว่าแล้วจับแฟ้มงานทำท่าจะตีที่ศีรษะของเพื่อน “แหมๆ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็น....”อิงยังไม่เลิกทะเล้น

“วันๆทำงานก็จะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเจ้าบริ๊งอีก แต่ละวันๆ ชั้นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรณนั้นหรอก อีกอย่าง...ฉันคงยังไม่พร้อม” สายตาบรีซดูเหม่อเลยเมื่อพูดถึงความรัก อิงที่เห็นว่าเพื่อนกำลังนึกถึงใครบางคนที่เคยมีความหมายสำหรับบรีซเธอก็รู้ว่าไม่ควรจะสะกิดแผลในใจของเพื่อนขึ้นมาอีก

“เอาน่า บรีซ คิดซะว่าไม่เคยเจอเขาอย่าไปสนใจเลย แกยังมีชั้นยังมีเจ้าบริ๊ง พี่เบส แล้วก็ ยังมีน้องเฟียส สุดหล่ออยู่อีกคนนะจ๊ะ” อิงตบไหล่เพื่อนเบาๆ บรีซจึงคลายยิ้มได้ในที่สุด เธอ สูดหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะลงมือเคลียงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป แต่เสียงโทรศัทพ์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“เหนื่อยมั้ยครับ”เฟียสหนุ่มน้อยหน้าใส เอ่ยถามบรีซที่ยังง่วนอยู่กับงานกองโต ตอนนี้เจ้านายของเธอไม่อยู่เธอจึงมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตั้งแต่กลับมาจากร้านพิซซ่าเธอแทบจะไม่ได้พักเลย “อืม เหนื่อยสิเฟียส จะเสร็จเมื่อไรก็ไม่รู้ เฮียติงก็นะ วีนจนเด็กกลัวหมดแล้ว” บรีซว่าขำๆเมื่อเห็นสภาพของเด็กฝึกงานแต่ละคนที่โดนผู้กำกับจอมเฮี้ยบวีนใส “งั้นเดียวเฟียสเอาน้ำมาให้นะ” เขาว่าแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม แค่ได้เห็นหน้าของบรีซในแต่ละวัน แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว “แน่ะๆ” อิงนภาที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังฉากแกล้งแซวเพื่อน “อะไรของแก” บรีซมุ่นหน้าขณะจัดเอกสารต่างๆอยู่ที่โต๊ะ “จะกินเด็กเหรอจ๊ะ” อิงแอบแซว “จะบ้าเหรอ โอ้ย คิดไปได้” บรีซส่ายหน้าโบกไม้โบกมือรำคานเพื่อนที่ชอบแซวเรื่องของเฟียส “เอ้า แกไม่คิด แต่เด็กมันคิสสสสส”อิงว่าแล้วแกล้งลากเสียงคำว่าคิสยานคางพร้อมห่อปากหลับตาพริ้มท่าทางจะจูบบรีซ “ยังไม่เลิกเดียวแม่โบกหัวทิ่ม” บรีซว่าแล้วจับแฟ้มงานทำท่าจะตีที่ศีรษะของเพื่อน “แหมๆ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็น....”อิงยังไม่เลิกทะเล้น

“วันๆทำงานก็จะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเจ้าบริ๊งอีก แต่ละวันๆ ชั้นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรณนั้นหรอก อีกอย่าง...ฉันคงยังไม่พร้อม” สายตาบรีซดูเหม่อเลยเมื่อพูดถึงความรัก อิงที่เห็นว่าเพื่อนกำลังนึกถึงใครบางคนที่เคยมีความหมายสำหรับบรีซเธอก็รู้ว่าไม่ควรจะสะกิดแผลในใจของเพื่อนขึ้นมาอีก “เอาน่า บรีซ คิดซะว่าไม่เคยเจอเขาอย่าไปสนใจเลย แกยังมีชั้นยังมีเจ้าบริ๊ง พี่เบส แล้วก็ ยังมีน้องเฟียส สุดหล่ออยู่อีกคนนะจ๊ะ” อิงตบไหล่เพื่อนเบาๆ บรีซคลายยิ้มได้ในที่สุด เธอ สูดหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะลงมือเคลียงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป เสียงโทรศัทพ์ก็ดังขึ้น
“บรีซ..ผมเองนะ” เสียงแผ่วเบาที่เธอไม่ได้ยินมานานดังขึ้นใครบางคนที่เธอเพิ่งนึกถึง โชตชะตาราวกำลังจะเล่นตลกกับชีวิตของเธออีกแล้ว “ผม...เอ่อ...คุยได้มั้ย”น้ำเสียงปลายสายดูเกร็งๆ “นนท์ รู้เบอร์บรีซได้ยังไง” ความรู้สึกสับสนกำลังค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเธออีกครั้ง ภาพอดีตวันวานค่อยๆกลับเข้ามาในความทรงจำเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เธอเคยรัก..หมดหัวใจ “นนท์...คิดถึงบรีซนะ” เขาเอ่ยเบาๆ เฝ้ารอคำตอบว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร “บรีซยังอยู่ดี ยัง...ไม่ตาย” พูดจบเธอก็วางสายลงทันที ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันกำลังจะทำให้เธอ่อนแออีกครั้ง ทั้งๆที่เคยสัญญากับตัวเองแล้วแท้ๆว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายความรู้สึกของตัวเองได้อีก

ท่วงทำนองของเพลงที่เธอเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วดังก้องกังวานขึ้นในความทรงจำ เพลงที่ทำให้เธอรู้ว่าชีวิตเธอยังมีอะไรมากกว่าแค่ความรัก เธอยังมีครอบครัว มีเพื่อนที่คอยห่วงใยเธอ เธอต้องข้ามผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้

“จบแล้ว บรีซ มันจบแล้ว” เธอพยายามจะฝืนความรู้สึกที่มันค่อยๆกลับมาอีกครั้ง กว่าจะเรียกสมาธิให้กลับคืนมาได้อีกครั้งก็กินเวลานานอยู่ไม่ใช้น้อย และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผู้คนในสตูดิโอดูบางตาไปเยอะ จะเหลือก็เพียงทีมงานไม่กี่คนที่คอยเช็คความเรียบร้อย เฟียสเป็นคนสุดท้ายที่มาทักเธอก่อนที่ทุกคนจะร่ำลาจากงานที่แสนยุ่งเหยิงของวันนี้ “กลับแล้วนะครับพี่บรีซ” เขายิ้มแล้วโบกมือลาออกจากสตูดิโอไป

“อืม กลับดีๆนะเฟียส” เธอยิ้มแล้วเอ่ยลาหนุ่มน้อย “อิงไปไหนต่อเปล่า” เธอหันมาถามเพื่อนที่ก็กำลังเก็บของกำลังจะกลับเช่นเดียวกัน “ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ เหนื่อย เฮียติงแหละตัวดีเลย เฮ้อ ว่าจะกลับบ้านอะ แล้วแกอะ” อิงนภาว่าเนื่อยๆแล้วโยนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า

“ก็คงกลับเลยแหละ รีบไปเถอะถ้างั้น ดึกแล้วเดียวหาแท็กซี่ไม่ได้” เธอมองนาฬิกา อีกไม่เกิน10นาทีจะเป็นเวลาสามทุ่มตรง ป่านนี้เจ้าบริ๊งแห้งตายไปแล้วมั้ง เธอนึกถึงน้องสาวตัวแสบที่ไม่รู้ว่าจะหากับข้าวกับปลากินเองได้หรือยัง

กว่าจะลากสังขารกลับถึงที่พักก็เล่นเอาบรีซแทบหมดแรง วันนี้การจราจรคับคั่งมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา บรีซถอนหายใจแล้วกดเรียกลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นที่พักของเธอ เธอไม่ลืมแวะซื้อข้าวกล่องที่ร้านสะดวกซื้อติดมือมาด้วย ป่านนี้น้องสาวตัวดีของเธอคงหิ้วท้องรอเธอแย่แล้วแน่ๆ แต่..มันดันไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ทันที่ที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมอบอวลก็ลอยมาแตะที่จมูกของเธอ บรีซทำจมูกฟุดฟิด แล้วเดินเข้าไปด้านใน

“บริ๊ง”เธอเรียกน้องสาวที่กำลังสาละวนอยู่ที่โต๊ะอาหารเจ้าตัวกำลังจัดเรียงจานช้อนให้เข้าที่ “กลับมาแล้วเย้ย” เจ้าบริ๊งฉีกยิ้มกว้าง “ทำอะไรน่ะ” บรีซมุ่นหน้างงเล็กน้อย นี่น้องสาวตัวดีของเธอหัดเป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่เมื่อไร “หิวม่ะ”บริ๊งถามพี่สาว “อือ เอ้านี่ ข้าว” บรีซว่าแล้วยื่นถุงที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อให้น้องสาว “โหะๆๆๆ วันนี้ไม่ได้ลงท้องเค้าหรอกไอ้ข้าวกล่องอะ” บริ๊งดีด๊าไม่สนใจจะรับถุงข้าวที่พี่สาวยื่นให้ “อะไรของแก อย่าบอกนะทำกับข้าวกินเอง” บรีซว่าแล้วหัวเราะขำๆประชดน้อง “ชิ...ใช่เซ่...อย่างเค้าจะไปทำอะไรเป็นล่ะ เชอะๆ”บริ๊งค้อนเข้าให้

“แล้วตกลงมันเรื่องอะไรเนี่ย แล้วกลิ่นอะไร ห๊อมมมหอม” บรีซหยุดแกล้งน้องแล้วถามถึงกลิ่นที่มาที่เธอได้รับตั้งแต่กลับมาถึง “หึหึ.....ทาด้าๆๆๆ.....”บริ๊ง พราวทู พรีเซ้น เจ้าตัวขยับหลบไปยืนข้างๆแล้วให้แม่ครัวเอกอย่างณภัทรยกสตูว์หม้อใหญ่ออกมาแทน ทันทีที่บรีซเห็นว่าเป็นใครเธอก็หุบยิ้มในทันที ณภัทรชำเลืองมองเจ้าของห้องที่นั่งหน้ามึนอยู่ที่โต๊ะทานข้าว เธอวางหม้อสตูว์ลงแล้วเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบอาหารอย่างอื่นที่ทำไว้อีกออกมา “ไอ้บริ๊งงงงง” ทันทีที่ภัทรเดินหายเข้าไปด้านใน เธอก็ดึงหูน้องสาวตัวดีทันที “บอกให้อยู่ห่างๆไว้ไง แล้วนี่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” บรีซกระซิบเบาๆแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือที่บิดหูของบริ๊งออก “โอ้ยๆ เจ็บนะเจ๊ ปล่อยๆก่อนๆ”เจ้าบริ๊งโวยวาย เธอถึงยอมปล่อยมือ

“แล้วจะให้น้องอดตายหรือยังไงเล่า กี่โมงกี่ยามแล้วรู้มั้ยเนี่ย โถ คนอุส่าห์หวังดี พี่ภัทรเค้าอาสามาทำให้กินเนี่ย” เจ้าบริ๊งว่าพร้อมมองค้อนพี่สาวของตัวเองอีกตลบ “ไอ้บริ๊งแกก็รู้ว่าฉันกับ...” บรีซกระซิบแล้วเพยิดหน้าเข้าไปด้านในครัว
“โอ้ย ...เจ๊ จะคิดมากทำไมเนี่ยก็พี่ภัทรเค้าบอกเองว่าไม่เป็นไรแล้ว เจ๊นี่อคิตจริงๆ”เจ้าบริ๊งส่ายหน้าแล้วทิ้งบรีซให้นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนตัวเองเดินหายต๋อมเข้าไปในครัวอีกคน “ไม่รู้ด้วยแล้ว ไอ้น้องทรยศ” บรีซว่าแล้วหยิบข้าวกล่องเดินหายเข้าไปในห้องของตัวเอง

ซักพักใหญ่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เจ๊กินข้าว” เจ้าบริ๊งตะโกนบอก
“กินแล้ว” บรีซตีหน้ายุ่งตะโกนตอบกลับมา
“เอ้า...แล้วกัน อร่อยนะจะบอกให้ ไม่กินหรือไง” เจ้าบริ๊งบอกอีกรอบ
“ไม่กิน”บรีซก็ตะโกนตอบกลับไปเช่นกัน
“เฮ้อ...ดื้อจริงๆพี่คนนี้ ไม่รู้นิสัยเหมือนใคร”บริ๊งว่าแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไอ้บริ๊งๆๆๆๆ เดียวโดน” แม้ว่าบริ๊งจะพูดเบาๆแต่พี่สาวเธอก้ได้ยินอยู่ดี เจ้าตัวคนโดนคาดโทษย่นคอแล้วรีบถอยห่างออกจากประตูของของพี่สาว “คงไม่ออกมาแล้วละค่ะ พี่ภัทร” สาวข้างห้องที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะมองบริ๊งแล้วยิ้ม “งั้นก็ทานกันเถอะ พี่หิวแล้ว” ณภัทรว่าแล้วลงมือตักข้าวใส่จานให้สาวน้อยตรงหน้า
“สวรรค์ชัดๆ” บริ๊งปลาบปลื้มแทบจะกระโจนใส่อาหารบนโต๊ะ “อร่อยมั้ย” ณภัทรถาม บริ๊งไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มปลาบปลื้ม ณภัทรจึงลงมือทานอาหารบาง เธอแอบมองประตูห้องนอนของบรีซเป็นพักๆ “อิ่มสุดๆ เฮ้อออ” เจ้าบริ๊งหลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยก็มานั่งผึ่งพุงของตัวเองอยู่ที่โซฟากลางห้อง
“พี่กลับก่อนนะ” ณภัทรที่เพิ่งจะจัดการล้างจานชามทั้งหมดเสร็จ เอ่ยลาบริ๊ง “ค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยกมือไหว้แล้วเดินไปส่งณภัทรที่ประตู “อ๋อ พี่แบ่งเก็บไว้เผื่อพี่เราแล้วนะถ้าหิวก็เอามาอุ่นล่ะอยู่ในตู้เย็น” ณภัทรอมยิ้มแล้วกลับห้องของตัวเองไป “ค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยิ้มแล้วโบกมือลาณภัทร “นางฟ้าชัดๆ”เจ้าบริ๊งเปรยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข แต่ก็ต้องสะดุงเมื่อเห็นว่าใครยืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องนอน “ชะ..อุ้ย..เจ๊ออกมาเมื่อไร ตกใจหมด” บริ๊งว่า
“กลับไปแล้วใช่มั้ย” บรีซกอดอก มุ่นหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟา “เอ้า แล้วเห็นว่าอยู่ไม๊ล่ะ” เจ้าบริ๊งตอบกวนๆ
“มานั่งนี่เลย มานี่ๆ” บรีซแสยะยิ้ม ตบเบาๆที่โซฟาข้างๆ รอยยิ้มแบบนี้แค่เห็นก็สยองแล้ว เจ้าบริ๊งยิ้มแหยๆ ขืนไปตายแน่ๆเจ้าตัวจึงแก้ตัวว่าจะขอตัวไปอาบน้ำเพราะง่วงแล้ว แต่ก็โดนสายตาคมๆของพี่สาวมองค้อนเข้าให้ จึงต้องจำยอมทำตามที่พี่สั่ง “โถ่ เจ๊อะ พี่ภัทรเค้าก็ดีแสนดี ไม่เป็นจะเป็นเหมือนที่เจ๊ว่าเลย เจ๊อะ อคิตไปอะเปล่า” บริ๊งอธิบาย

“อ๋อเหรออ.....เดียวนี้แกเข้าข้างคนอื่นมากกว่าพี่ตัวเองแล้วใช่มั้ย” บรีซมุ่นหน้าแล้วค้อนเข้าให้ “เจ๊อะ...ก็ บริ๊งไม่เห็นว่าพี่ภัทรเค้าจะทำอะไรไม่ดีตรงไหนเลยนี่นา “เจ้าบริ๊งยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมบรีซถึงดูไม่ชอบณภัทรนัก “ก็แน่ละซิ ใครจะไปเห็นแก่กินเหมือนแกล่ะ” บรีซพาลเข้าให้อีกตลบ “เอ้า แล้วกัน เฮ้อๆๆๆ เจ๊อะไม่มีอะไรหรอกคิดมากกกก” เจ้าบริ๊งยังคงยืนยันว่าณภัทรไม่มีอะไรจริงๆ แต่บรีซก็ยังไม่คลายกังวล “ระวังไว้เหอะไม่เห็นหรือไงเวลาเค้ามองแกอะ ตางี้เยิ้มเลย”

“โห้ย เจ๊ คิดได้ไงเนี่ย ไม่เอาล่ะ บริ๊งไปอาบน้ำดีกว่าๆๆ” เจ้าบริ๊งเริ่มรู้สึกว่าพี่สาวของตัวเองออกจะกังวลอะไรเกินเหตุไปเสียแล้ว “ระวังเหอะๆ เกิดอะไรขึ้นมาอย่ามาหาว่าไม่เตือนนะ” บรีซตะโกนไล่หลังบริ๊งที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ


ความสนิทสนมระหว่างณภัทรและบริ๊งที่มีมากขึ้นๆเริ่มทำให้บรีซเป็นกังวล ยังไงเธอก็ยังไม่ชอบขี้หน้าของสาวข้างห้องอยู่ดี ต่อหน้าบริ๊งเธอราวกับเป็นนางฟ้า แต่เธอรู้สึกว่าไอ้รอยยิ้มหวานๆที่ ณภัทรชอบส่งเกลื่อนกลาดนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ยิ่งแววตาของณภัทรที่เธอแอบเห็น มันช่างดูแปลกสิ้นดี แววตาที่เธอเหมือนจะคุ้นว่าเคยเห็นที่ไหนซักแห่งแต่เจ้าตัวกลับนึกไม่ออก เธอเฝ้ามองพฤติกรรมของ ณภัทรเรื่อยมา แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ทุกครั้งที่ณภัทรมาที่ห้องของเธอ เธอมักจะปลีกตัวหายจ๋อยเข้าไปในห้อง ณภัทรก็เอาแต่ยิ้ม โดยไม่รู้ว่าภายในใจนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอกลับมาแล้วไม่เจอบริ๊ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องข้างๆแน่ๆ เธอจึงรีบตรงดิ่งไปที่ห้องข้างๆทันทีพร้อมมือที่รัวเคาะประตูเหมือนทุกๆครั้ง “นี่คุณๆๆ” บรีซเคาะประตูรัวแทบไม่เว้นจังหวะ แต่ไม่นานนักเจ้าของห้องก็เปิดประตู

“น้องสาวฉันล่ะ” บรีซพยายามจะมองเข้าไปด้านในห้องโดยไม่สนใจเจ้าของห้องที่ยืนขวางทางเข้าอยู่ ณภัทรจึงเบี่ยงตัวหลบ แล้วปล่อยให้อีกคนเข้ามาจะได้ไม่ต้องมัวแต่ชะเง้อมองหาด้วยสายตาอีกต่อไป

“บริ๊ง ไอ้บริ๊ง” บรีซตะโกนเรียกน้องสาว เธอเดินดุ่มๆเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่พบบริ๊งตามที่ตัวเองคิดไว้ “น้องชั้นอยู่ไหน”บรีซหันมาหาเรื่องเอากับเจ้าของห้องแทน “แล้วคุณเห็นมั้ยล่ะ” ณภัทรยิ้มบ้าง แต่รอยยิ้มนั้น ช่างดูแตกต่างจากที่เธอเคยเห็นมาในทุกๆครั้ง

“บริ๊ง....ไอ้บริ๊ง” บรีซตัดสินใจตะโกนเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ “น้องชั้นไปไหน” บรีซมุ่นหน้าแล้วหันมาถามณภัทรด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง” ณภัทรยิ้มอีกแล้ว เดินไปที่ตู้เก็บไวน์เปิดไวน์รินใส่แก้วโดยไม่ได้สนใจอาการกระวนกระวายของคนข้างห้อง

“แล้วถ้าบริ๊งไม่อยู่ ทำไมคุณไม่บอกชั้น” บรีซมุ่นหน้ามองอีกคนที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เธอบุกมาถึงห้อง “ก็คุณอยากเข้ามาเองนิ...ซักแก้วไม๊” ณภัทรบอกเบาๆแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ พร้อมถามบรีซ “ไม่ล่ะ”บรีซสะบัดหน้าตอบแล้วกำลังจะเดินกลับ เธอถึงได้สังเกตเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ในห้องของณภัทร รูปที่ผนังดูโดดเด่นจนเธอต้องหยุดมองมัน

“ชอบเหรอ” ณภัทรเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งแก้วไวน์อีกแก้วให้บรีซ ตอนแรกเธอทำท่าจะไม่รับแต่ก็จำใจต้องรับมาเพราะสายตาคู่สวยของณภัทรอีกแล้วที่ทำให้เธอต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ “ก็งั้นๆ” บรีซรีบเบนสายตาไปทางอื่น ณภัทรอมยิ้มแล้วนั่งลงที่โซฟากลางห้อง “คุณวาดเองหมดเลยเหรอ” บรีซที่คงลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ที่มาที่ห้องของณภัทรแล้วจริงๆนั้นคืออะไร เธอกำลังเพลิดเพลินกับภาพวาดมากมายที่อยู่บนผืนผ้าใบ

มุมห้องด้านหนึ่งถูกจัดเป็น อาร์ทแกลลอรี่เล็กๆ นี่สินะ สาเหตุของเสียงปึงปังที่เกิดขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน “อืม ก็ทั้งหมดที่คุณเห็นนั่นแหละ” ณภัทรเฝ้ามองบรีซที่เดินดูผลงานของเธอแต่ละชิ้นด้วยความรู้สึกประหลาด บรีซดูแตกต่างจากทุกครั้งที่เธอเห็น เธอช่าง....

”ฉันกลับก่อนนะ” เสียงของบรีซทำให้ณภัทรหลุดจากภวังค์ เธอหันไปมองบรีซแล้วจึงพยักหน้า “เอ่อ...ขอโทษที่โวยวายใส่คุณ” ก่อนที่บรีซจะกลับห้องไป เธอเอ่ยบอกณภัทรด้วยใบหน้าอายๆ “ช่างมันเถอะ” ณภัทรอมยิ้ม ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ซักพักแล้วบรีซก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน เธอยิ้มน้อยๆแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง ความรู้สึกประหลาดๆเริ่มก่อตัวขึ้น บรีซหันกลับไปมองที่ห้องของภัทรอีกครั้ง ทำไมเธอต้องทำแบบนี้นะ เธอเองก็ไม่เข้าใจเธอรู้แต่เพียงว่าหัวใจของเธอมันเต้นระรัวจนเกือบจะกระเด็นออกมานอกอกอยู่แล้ว บรีซสูดลมหายใจลึกเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วถึงหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมา เรียกสายไปที่เครื่องของเจ้าน้องสาวตัวดีของเธอ

Trap of the next Door 06

“พี่ภัทรๆๆๆ”เจ้าบริ๊งยิ้มร่ารีบเดินไปหาณภัทรที่อมยิ้มมาแต่ไกล แต่สำหรับ บรีซตอนนี้เธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เป็นที่สุด หลังจากได้ปะทะหน้ากันเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอก็ไม่คิดจะอยากเจอน้องสาวของเจ้านายตัวเองอีก บรีซก้มหน้ามองพื้นทำเหมือนณภัทรไม่มีตัวตน “สวัสดีค่ะ คุณบรีซ” แต่ดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วณภัทรเป็นฝ่ายทักเธอก่อน บรีซได้แต่ฝืนยิ้ม มุมปากของเธอดูจะหนักอึ้งขึ้นมาเสียดื้อๆกว่าจะบังคับให้มันยิ้มได้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“เจ๊เป็นไร”เจ้าบริ๊งรีบพูดแทรกเมื่อเห็นพี่สาวตัวเองทำตัวแข็งทื่อราวกับถูกหล่อด้วยปูนซีเมนต์ “บริ๊งชั้นไปก่อนนะ” บรีซรีบพูดแล้วพยายามจะหลบออกไป “จะรีบไปไหนเหรอคะ” ณภัทรรีบท้วงทำให้คนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปถึงกับชะงัก บรีซหันมาฝืนยิ้มแห้งๆให้ณภัทรอีกครั้ง “ทะ..ทำงานค่ะ” บรีซตะกุกตะกักพูด ไม่รู้จะไปต่อยังไง เรื่องคราวก่อนยังทำให้เธออายทุกครั้งที่นึกถึง แต่นี่ เจ้าตัวคนต้นเรื่องกลับมายืนอมยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเธอเสียนี่

“เอ้า...พักกอง” และก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธออยู่ดี ผู้กำกับขาโหดประกาศพักกองทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำไป “เอ้า ยังไม่ได้ถ่ายเลยนิ พักกองแล้วเหรอ” เจ้าบริ๊งว่าแล้วชะโงกหน้าไปดูทางผู้กำกับที่เดินออกไปนอกสตูดิโอด้วยท่าทางเร่งรีบเหมือนกับโดน..สั่งมาอย่างนั้นแหละ “อืม...บริ๊งหิวหรือยัง” อยู่ๆณภัทรก็หันมาถามบริ๊ง “หิวตั้งแต่เช้าแล้วพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งยิ่มแฉ่งแล้วลูบท้องตัวเอง “งั้นไปหาอะไรทานกันมั้ย” ณภัทรว่าแต่สายตาเธอกลับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นพี่แทน บรีซทำได้แต่เพียงแกล้งหลบสายตาไปทางอื่น “จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหรือไง” เธอขมุบขมิบปากแอบนินทาคนไม่มีมารยาทที่ยังไม่ยอมละสายตาจากเธอเสียที แล้วรอยยิ้มแบบนั้นน่ะมันหมายความว่ายังไงยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด บรีซกัดฟัน แต่ก็ต้องพยายามยิ้มไปด้วย
“พี่ภัทรเลี้ยงนะ บริ๊งช่วยเจ็ดบาท”เจ้าบริ๊งยิ้มทะเล้นพร้อมเกาะแขนณภัทร
“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร” บรีซมองตามพลางนึกในใจว่าน้องสาวของเธอไปสนิทกับคนข้างห้องตั้งแต่เมื่อไร นี่คิดจะแปรพรรคหรือยังไง “ไปด้วยกันมั้ยคะคุณบรีซ” ณภัทรเอ่ยเสียงรีบทักคนหน้ายุ่งที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ..คือ...เอ่อ..ดิฉันมีธุระค่ะ” บรีซพยายามนึกถ้อยคำเพื่อเลี่ยงจากสถาณการณ์แสนอึดอัดใจนี้ เธออยากจะหนีไปให้พ้นจากคนตรงหน้านี้เหลือเกิน “แน่ใจเหรอคะ” ณภัทรยังคงงถามต่อ เจ้าบริ๊งมองหน้าณภัทรทีหน้าพี่สางตัวเองทีหนึ่ง สองสาวข้างๆเธอพูดจาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่สีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง “ไปเหอะเจ๊ โอ้ยหิว” เจ้าบริ๊งตัดบทแล้วเกี่ยวแขนพี่สาวข้างหนึ่งณภัทรข้างหนึ่งจูงทั้งสองคนให้ออกเดินไปพร้อมกับตัวเอง “ไอ้บริ๊งเดียวๆ”บรีซพยายามจะท้วงแต่เมื่อเห็นสายตาของณภัทร เธอก็เงียบเสียงลงและจำยอมต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้

ร้านที่ณภัทรเลือกพาสองศรีพี่น้องมาทานอาหารกลางวันนั้นกลับเป็นเพียงร้านพิซซ่าแฟนไชน์ ไม่ใช่ร้านหรูเริ่ดอลังการอะไรอย่างที่บรีซแอบคิดไว้ “เย้ๆพิซซ่าๆๆๆ”เจ้าบริ๊งลิงโลดทำตัวเหมือนเด็กๆรีบจูงมือทั้งณภัทรทั้งพี่สาวตังเองเดินนำลิ่วเข้าไปภายในร้าน “ไม่ชอบเหรอคะ”ณภัทรทักเมื่อเห็นหน้ามุ่นๆเหมือนคนคิดไม่ตกของบรีซ “เปล่าค่ะ ทานได้” บรีซตอบแล้วรีบเดินตามน้องสาวเข้าไปภายในร้าน

“อร่อยมั้ยเห็นบ่นอยากกินอยู่ไม่ใช่เหรอ” ณภัทรยิ้มนั่งมองเจ้าบริ๊งที่กำลังเอร็ดอร่อยกับพิซซ่าตรงหน้าแต่เจ้าตัวกลับไม่แตะเลยซักชิ้น “จะจีบเจ้าบริ๊งหรือยังไง” บรีซแอบคิดเมื่อเห็นณภัทรดูจะใจดีกับน้องสาวของตัวเองจนเกินไป เธอแอบมองณภัทรเป็นพักๆแต่ก็ต้องรีบหลบเพราะณภัทรเองก็มักที่จะหันมามองเธอเช่นเดียวกัน “พี่ภัทรไม่ทานเหรอคะ ไม่เห็นแตะเลย”เจ้าบริ๊งที่ตอนนี้อิ่มแปร้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเอ่ยถามเจ้ามือที่เอาแต่นั่งอมยิ้ม “พี่เห็นเรากินก็อิ่มแล้วล่ะ”ณภัทรว่าแล้วใช้มือปัดเศษขนมปังที่ติดที่แก้มบริ๊งออก “ฮึ้ย”บรีซมุ่นหน้า นี่ณภัทรจะจีบน้องสาวเธอหรือยังไง ถึงบริ๊งจะดูทะโมนเหมือนทอมบอย แต่เธอก็รู้ว่าน้องสาวของเธอนั้น สาวแท้ล้านเปอร์เซ็น? “บริ๊งๆ มานั่งนี่มา” บรีซชักเริ่มไม่พอใจต่อกริยาที่ณภัทรปฏิบัติต่อน้องสาวเธอถึงเธอจะเกรง...ณภัทรมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องสาวเธอเธอยอมไม่ได้เด็ดขาด เธอดึงแขนน้องสาวให้สลับที่กับตัวเอง “อะไรของเจ๊เนี่ย” เจ้าบริ๊งถึงกับงงแต่ก็ยอมทำตามที่พี่สาวบอก”เอ่อ ตรงนั้นแอร์มันแรงเดียวไม่สบาย” บรีซหาข้ออ้างได้ในแบบที่บริ๊งเองยังถึงกับอึ้ง “แอร์แรงที่ไหนเนี่ย เหงื่อไหลหยั่งกะท่อปะปาแตก” เจ้าบริ๊งบ่น

“อิ่มแล้วเหรอ”ณภัทรถาม
“สุดๆเลยค่ะพี่ภัทร”เจ้าบริ๊งลูบพุงตัวเองแล้วเอนหลังยาวราวกับจะนอนหลับซะตรงนี้ “ไอ้บริ๊ง...มารยาท”บรีซกัดฟัดกรอดเมื่อเห็นว่าเจ้าบริ๊งจะทำตัวสบายเกินไปแล้ว “ ชะ..อุ้ย”เจ้าบรี๊งรีบยืดตัวขึ้นนั่งตามเดิม
“อิ่มแล้วใช่มั้ย งั้นก็ไปๆกลับๆชั้นยังมีงานต้องทำอีกเยอะนะ”บรีซพูดแล้วรีบลุกขึ้นเธอเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
“เจ๊ๆ เอ้าจะรีบไม่ไหน” เจ้าบริ๊งงง ที่อยู่ๆบรีซก็ลุกขึ้นเดินพรวดพราดออกไป ณภัทรนั่งมองสองพี่น้องทะเลาะกันอยู่ซักพักเธอก็เดินออกไป “คิดเงินด้วยคะ” บรีซยืนบิลที่เคาเตอร์
“โต๊ะนี้จ่ายเงินแล้วนะครับ” พนักงานบอกเธอเบาๆ
“ป่ะบริ๊งกลับกันเถอะ” ณภัทรเอ่ยเบาๆด้านหลังบรีซ เจ้าตัวถึงกับหันไปมองด้วยสีหน้างงๆ ณภัทรยิ้มแล้วเดินออกจากร้านพร้อมบริ๊งโดยไม่พูดอะไรอีก “นี่คุณๆ” บรีซรีบเดินตามทั้งสองคนออกไป “น้องฉัน ฉันเลี้ยงเองได้”บรีซว่าแล้วยื่นเงินเท่ากับในจำนวนบิลให้ณภัทร “คุณเก็บไว้เถอะ”ภัทรตอบเบาๆแล้วหันเดินต่อไป
“ไม่ได้ ชั้นไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร” อยู่ๆเธอก็กล้าขึ้นมาอาจเป็นเพราะท่าทางของณภัทรที่มีต่อบริ๊งทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ สัญชาติญาณของคนเป็นพี่ก็เลยออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“เจ๊” เจ้าบริ๊งตกใจที่เห็นพี่สาวของตัวเองตวาดเสียงดังใส่ณภัทร
“ไปเถอะบริ๊ง” ณภัทรทำแกล้งไม่ได้ยินเสียอย่างนั้นเธอยิ้มแล้วเดินต่อไปโดยมีบรีซที่เร่งก้าวเดินตามมาด้านหลัง “เจ๊ใจเย็นๆสิเรื่องอะไรอีกเนี่ย”เจ้าบริ๊งรีบเข้าไปกระชากแขนของพี่สาวไว้ “กลับถึงบ้านค่อยคุย”เธอบอกน้องแล้วเดินฮึดฮัดตามน้องสาวเจ้านายตัวเองไป

สรุปแล้ว บรีซก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำเพราะณภัทรไม่มีท่าทีที่จะสนใจเธอ เธอจึงจำต้องเก็บเงินลงกระเป๋าแล้วนั่งฟึดฟัดไปตลอดทาง ณภัทรส่งเธอที่หน้าบริษัท ส่วนบริ๊งนั้นกลับคอนโดพร้อมณภัทร “อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนี้ไว้นะ” ก่อนลงจากรถ เธอหันมากระซิบบอกน้องสาวเบาๆ “อะไรของเค้าหวา”เจ้าบริ๊งทำหน้างงๆไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงไม่พอใจณภัทรขึ้นมาอีกแล้ว

“พี่เรานี่ขี้หงุดหงิดนะ”ณภัทรว่าแล้วอมยิ้ม
“แฮะๆ...วันนั้นของเดือนมั้งคะ พี่ภัทรอย่าไปสนใจเจ๊เลย เป็นแบบนี้ประจำแหละ บริ๊งโดนจนชินแหละ” เจ้าตัวดีสบโอกาสเผาพี่สาวตัวเองเข้าให้ “นั่นสินะ” ณภัทรเอ่ยลอยๆแล้วพลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วก่อนที่เธอจะเดินทางไปเรียนต่อยังต่างแดน “ฝากไว้ก่อนเถอะแล้วชั้นจะเอาคืน เราต้องเจอกันอีกแน่” ณภัทรนึกถึงถ้อยคำของตัวเองที่ได้เคยพูดไว้พร้อมใบหน้าของใครบางคนที่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ได้หวั่นเกรงเธอเลยซักนิด ใบหน้าที่เธอยังคงจำได้ดี

Captivated Clumsy 09

“น้องอายคะ แน่ใจนะคะ ว่าไม่เป็นอะไร” หลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อยและทุกคนกำลังเดินทางไปสวนสนุก แอมก็มักจะแอบสังเกตท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของสาวหน้าหวานที่นั่งข้างๆ จนเธออดไม่ไหวถามออกไปอีกจนได้
    “อะเออ....ค่ะ....ไม่เป็นไร” อายสะดุ้งขณะที่ในหัวกลับนึกถึงแต่ร่างเพรียวที่เห็นเพียงแค่ด้านหลัง ที่เธอพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถจะลืมได้ซักที

    “พี่แอมเห็นน้องอายเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” แอมอดกังวลไม่ได้ กลัวแม่สาวข้างๆกำลังคิดอะไรคนเดียวอีก
    “ค่ะ อายแค่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่พี่แอมอย่าสนใจเลยค่ะเรื่องไม่เป็นเรื่อง” อาคิราพูดในขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอกแทน พร้อมกับใบหน้าสวยๆของแพรวาที่ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในจิตใจของเธออีกครั้ง
 “เอาล่ะเด็กๆเตรียมตัวนะคะจะถึงแล้ว ใครอยากทำอะไรนึกเอาไว้แล้วหรือยัง” ดูเหมือนอาคิราไม่ต้องการจะให้เธอซักไซ้อะไรอีก แอมจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เธอมองกระจกหลังถามเจ้าตัวจ้อยสองคนที่นั่งตาแป๋วฟังเรื่องที่เธอกำลังถามอาคิราอยู่
    “สไลเดอร์ๆ” เจ้าข้าวตะโกนโวกเวกโวยวายบอกลั่น และเริ่มเถียงกับน้องเมย์ที่อยากจะนั่งม้าหมุนมากกว่า
    “ค่าๆ”แอมอมยิ้มมองเจ้าตัวยุ่งสองคนเถียงกันเสียงดัง แล้วแอบปรายตามองแม่สาวจอมคิดมากที่นั่งข้างๆที่ดูจะไม่สนใจอะไรเอาเสียเลย  แอมขมวดคิ้วสงสัยว่าเรื่องอะไรอีกกันนะที่ทำให้อาคิราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นเรื่องของเธออีกหรือเปล่า

    “น้องอายนั่งรอที่นี่ก่อนนะคะ พี่แอมขอพาสองคนนี้ไปเปลี่ยนชุดก่อน” หลังจากมาถึงสวนสนุกและทั้งหมดเลือกจับจองที่นั่งสบายๆข้างทะเลจำลองขนาดใหญ่แล้ว อาคิราก็ทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้เนื่อยๆ แอมพยายามจะชวนสาวหน้าหวานคุยทำโน้นทำนี่ แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาไม่สะดุ้งตกใจก็เป็นเพียงรอยยิ้มเก้อๆที่ดูเหม่อลอย และดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรรอบตัว

    “น้องอายคะ” แอมเรียกสาวหน้าหวานอีกครั้ง ขณะที่ปล่อยให้สองตัวแสบสนุกกับคลื่นน้ำจืดอยู่บริเวณนั้น
    “คะ” เป็นอีกครั้งที่อาคิราตอบอย่างตกใจเหมือนหลุดจากภวังค์
    “พี่แอมฝากดูสองคนนั้นแป๊บนะคะ เดียวพี่แอมไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นเตรียมไว้ให้สองคนนั้นก่อน” แอมบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินไป
    “ค่ะได้ค่ะ” อายยิ้มเก้อๆส่งให้ แล้วมองเจ้าหลานชายตัวดีที่กำลังเล่นสาดน้ำอยู่กับน้องเมย์อย่างสนุก
“มั่วทำบ้าอะไรอยู่นะเรา คิดอะไรอยู่” อาคิราพึมพำเธอนึก จะมามัวนึกถึงคนที่ไม่ใยดีเธออยู่ทำไม ทำไมต้องนึกถึง ทำไมแค่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่เธอคนนั้นหรือเปล่า ก็เป็นถึงขนาดนี้อาคิรานึกโมโหตัวเอง และพยายามฝืนยิ้มเหตุผลที่เธอมาที่นี่กับทุกๆคนเพื่อต้องการมาพักผ่อนไม่ใช่เหรอ เธอนึกแล้วสะบัดหน้าแรงๆพยายามสลัดใบหน้าของแพรวาที่อยู่ในหัวออกให้ได้  หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะเดินออกไปหาเจ้าหลานชายที่กำลังเล่นสนุกอยู่แทน

    “อาอายทางนี้ เล่นน้ำกัน” เจ้าข้าวยิ้มตาหยี พลางพยายามจะสาดน้ำใส่อาของตัวเอง
    “ไม่เอา ไม่เล่นย่ะ ชั้นไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน” อายตะโกนบอกเจ้าหลานชายตัวดีอยู่ข้างๆสระแทน
“จะขึ้นหรือยังนานแล้วนะข้าวเดียวไม่สบาย” หลังจากนั่งมองเจ้าหลานชายเล่นน้ำอยู่นาน อาคิราก็ลองเรียกเจ้าตัวดีดูอีกครั้ง
    “ม่าอาว ข้าวจาเล่นอีก” เจ้าตัวดีตะโกนบอก แล้วรีบไต่ขึ้นไปบนสไลเดอร์ที่ต่อกับสระน้ำอย่างสนุกอีกครั้ง..
    “ตามใจ ไม่สบายอย่ามาอ้อนล่ะ ชั้นจะสมน้ำหน้าซ้ำ” อาคิราตะโกนบอกแล้วเดินกลับไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดิม
    “ทำไมพี่แอมไปนานนักนะ” อายบุ้ยปากพลางนึก แค่ไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นทำไมแอมถึงหายไปนานนัก แล้วอาคิราก็เริ่มสวมวิญญาณยีราฟคอยื่นคอยาว พยายามมองหาร่างสูงเพรียวของหมอแอม
 “มาแล้ว” อายยิ้ม เมื่อเห็นร่างเพรียวของแอมเดินมาแต่ไกล แต่เหมือนกับแอมกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ด้วย และก็ไม่ผิดอย่างที่เธอคิด ข้างๆของแอมมีหญิงสาวสวยเดินเคียงมาด้วย ทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่างท่าทางดูสนุก อาคิราหุบยิ้มแทบในทันที ทำไมหมอแอมต้องยิ้มหวานแบบนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย แล้วกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ทำไมท่าทางถึงดูสนุกสนานแล้วก็สนิทสนมถึงขนาดนั้น และที่สำคัญทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องเกี่ยวแขนหมอแอมราวกับเป็นคู่รักกันแบบนั้นด้วย

    “มาแล้วค่ะ” แอมเอ่ยทักพร้อมส่งยิ้มให้อาคิรา แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของคนตัวเล็กคงกำลังไม่พอใจอย่างหนักนอกจากจะไม่พูดไม่ ยิ้มตอบแล้ว อาคิรายังแกล้งมองเมินเสียนี่ เล่นเอาแอมเกิดอาการงงเล็กๆว่าอาคิราเป็นอะไรไปอีก

    “ขอโทษนะคะที่หายไปนาน พอดีเจอ...” แอมพยายามจะพูดให้คนตัวเล็กหันมาสนใจ และลังเลว่าควรจะพูดอะไรต่อดีมั้ย  อาคิราปรายหางตามามองเพียงเล็กน้อยและเริ่มมองสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆหมอแอมรวมถึงแขนของแขกแปลกหน้าที่ยังเกาะแขน หมอแอมไม่ยอมปล่อยนั้นด้วย
    “..ฟ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างให้ด้วยความเป็นมิตร
    “ฟ้านี่น้องอายที่พี่แอมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ไงคะ..แล้วก็น้องอายคะ นี่ฟ้าค่ะ รุ่นน้องพี่แอมตอนพี่แอมเรียนหมอ ไปต่อโทที่เมกาเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเองค่ะ” แอมยิ้มอธิบายสั้นๆท่าทางดีใจให้อาคิราที่ยังคงตีสีหน้าเหมือนไม่สนใจอะไรฟัง
    “ค่ะ” อาคิราตอบสั้นๆแผลงฤทธิ์หน้างุ้ม อีกแล้ว
    “อะ เอ่อ” แอมพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอเดาอารมณ์ของแม่สาวขี้งอนคนนี้ไม่ถูกจริงๆ ตะกี้ยังนั่งเหม่อทำท่าซังกะตาย อยู่ดีๆก็เปลี่ยนมาเป็นสาวเจ้าอารมณ์เสียแล้ว
    “ฟ้าว่า....ฟ้าขอตัวก่อนดีกว่ามั้งคะ” ไม่ต่างกันกับสาวสวยที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกเธอเริ่มรู้สึกว่าผู้หญิง หน้าหวานคนนี้กำลังไม่พอใจอะไรเธออยู่แน่ๆ เธอเองก็เป็นอีกคนที่แทบจะหุบยิ้มตามหมอแอมไม่ทัน
    “ฟ้าไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ อยู่คุยกับพี่ก่อนก็ได้ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังตั้งเยอะ” แอมยิ้มให้แล้วฉุดแขนของ หญิงสาวที่เหมือนลังเลว่าควรจะอยู่ต่อดีมั้ยให้นั่งลงข้างๆเธอ
    “แต่ว่า....” ฟ้าลังเล มองหน้าของสาวหน้าหวานที่นั่งถัดไป ที่พอเมื่อเธอมองเจ้าตัวก็รีบค้อนหลบสายตาเอาเสียอย่างนั้น

    “นะคะ อยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนพอดีมีบางคนเค้าคงไม่ค่อยอยากคุยกับพี่แอมเท่าไรน่ะค่ะ ฟ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่แอมก่อนนะคะ” แอมพูดเสียงหวานอ้อนๆ เล่นเอาอาคิราหันควับมามองค้อนให้ ที่แอมพูดนั้นถ้าไม่ได้หมายถึงเธอก็คงจะไม่มีใครแล้วล่ะ
    “ตามสบายนะคะ” อาคิราตอบเสียงห้วนสะบัดค้อนงามๆ แล้วลุกพรวด เดินปึงปังไปหาสองตัวแสบที่ยังเล่นน้ำกันอย่างสนุกแทน

Kiss me Killi me 06


มือเล็กไขกุญแจดอกใหญ่ออกแล้วผลักบานประตูเหล็กเข้าไป   สายลมแผ่วเบาพัดกระดิ่งลมที่แขวนไว้ในสวนส่งเสียงกรุ้งกิ้งราวกับกำลังต้อนรับหญิงสาวกลับบ้าน   นัยน์ตากลมโตมองไปรอบๆจนไปสะดุดเข้ากับต้นไผ่ลำสูงที่ปลูกไว้ริมรั้ว    

...ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านพักหลังใหม่ของป้าเข้าออกเช้าเย็นอยู่ทุกวันไม่เคยสนใจสวนเล็กๆนั่นเลย     แต่ฟาก็เพิ่งสังเกตเห็นวันนี้ว่าที่นี่มีต้นไผ่ด้วยแถมยังแขวนกระดิ่งลมไว้อีกต่างหาก

เห็นต้นไผ่ทีไรชวนให้นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาทุกที....  

หญิงสาวหยิบมือถือเครื่องจิ๋วขึ้นมาเปิดดูวันที่   วันนี้เป็นวันที่7  กรกฎาคม  สำหรับประเทศไทยก็คงเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งในเดือนนี้   แต่ตามประเพณีของประเทศญี่ปุ่น   วันที่7เดือน7ของทุกปีคือวัน  ทานาบาตะ  อันมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับการขอพรและอธิษฐานเพื่อให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา   แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักวันนี้

สาวหน้าหวานอมยิ้มส่ายหน้าไปมา

..อย่างน้อย  ก็มีลูกพี่ลูกน้องของเธอคนหนึ่งล่ะที่เชื่อ...จนถึงขั้นงมงายเลยละมั้ง

   “ทานาบาตะปีนี้    พี่เนยคงทำอะไรลมๆแล้งๆเหมือนเดิมอยู่สินะคะ”   ฟาทอดสายตาเหม่อมองต้นไผ่พลิ้วไหวไปตามแรงลม
........................................................................................................................

ชุดวันพีชสีหวานถูกโยนลงบนที่นอนลายน่ารักที่เกลื่อนไปด้วยเสื้อผ้า   เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมนุ่มที่อยู่ใกล้ๆเตียงนอน   ใบหน้าใสเง้างอพลางยกปลายนิ้วยกขึ้นจรดริมปากครุ่นคิด

“ให้ตายสิ  ไม่มีชุดไหนที่ใส่แล้วมันจะยั่วได้บ้างเลยรึไง”   ฟาเม้มริมฝีปากมองเงาสะท้อนใบหน้าหวานของตัวเองผ่านกระจก    เพราะหน้าตาน่ารักให้ความรู้สึกน่าถนุถนอมทำให้แต่งตัวออกมาได้แบบสาวหวานอย่างเดียว   เธอถอนหายใจสะบัดตัวลุกขึ้นไปหยิบชุดหนึ่งออกมาจากตู้ที่โล่งไม่มีอะไรเหลือแล้ว

“ตัวนี้คงพอไหวล่ะมั้ง...”    มือเล็กๆจับเสื้อเกาะอกมาทาบที่ตัว   เสื้อเกาะอกตัวนี้เป็นของขวัญจากลูกพี่ลูกน้องคนสำคัญ  เลยโดนแขวนไว้ด้านในสุดเพราะเป็นเสื้อผ้าแหวกแนวที่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง

คืนนี้มีแผนการสำคัญ  ถึงจะไม่ใช่คนสวยแต่เธอก็มั่นใจในความน่ารักของตัวเองมาก  

มีลุ้นแน่คืนนี้....

พอคิดถึงตอนที่ได้เห็นสีหน้ายอมจำนนยกให้ทุกอย่างของยัยหัวแดงแรงฤทธิ์นั่นก็อดยิ้มไม่ได้     ยิ่งคิดใบหน้าหวานก็ยิ่งเผยรอยยิ้มปีศาจน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ  

.....เดี๋ยวก็รู้...... ว่าใครจะแน่กว่ากัน


                   วันนี้ฟาแต่งหน้าแบบบางๆเน้นให้ดูเป็นธรรมชาติ   เริ่มจากรองพื้นด้วยแป้งเนื้อสีเดียวกับสีผิวตัวเอง   ใช้บลัดออนสีชมพูอ่อนๆปัดที่แก้ม    แต่งตาโดยดัดขนตาธรรมดาแล้วทำไฮไลท์ด้วยสีขาวเน้นให้ตาเด่น  ส่วนริมฝีปากอิ่มใช้ลิปสีนู๊ดทาเวลาโปรยยิ้มทำให้ได้อารมณ์หวานปนเซ็กซี่หน่อยๆ    ผมยาวสลวยถูกรวบมัดไปด้านข้างแล้วมัดด้วยยางรัดผมแต่งระบายลูกไม้สีหวาน   ส่วนเสื้อเกาะอกสีขาวพอดีตัวที่เลือกแล้วเลือกอีกก็เผยให้เห็นผิวขาวเนียนและเนินอกที่ชวนมอง  ยิ่งแต่งคู่กับกระโปรงยีนส์สั้นโชว์เรียวขางาม..ลงตัวสุดๆ    เมื่อมองดูความเรียบร้อยผ่านกระจกสาวหน้าหวานก็ยิ้มเรียกความมั่นใจก่อนจะหยิบสร้อยเงินราคาแพงที่ได้จากคู่อาฆาตมาใส่  
...ครบเซท...น่ารักแอบเซ็กซี่...สมบรูณ์แบบ     เป็นการมิกซ์แอนด์แมชที่ลงตัวสุดๆ  ที่เหลือก็คงต้องทุ่มสุดตัวสุดฝีมือเพื่อจะทำให้ยัยคนแรงๆนั่นตายใจแล้วตกหลุมพราง

........................................................................................................................

หน้าโรงหนังตอนพลบค่ำ   สาวอวบในสุดเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกระโปรงพลิ้วแต่งตัวได้ธรรมดาสุดๆยืนลังเลใจหันซ้ายหันขวา  ข้างๆกันคือสาวเซอร์แต่งตัวด้วยลุคเสื้อยืดพอดีตัวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์สีซีดแถมด้วยรองเท้าแตะ

“โครตจะเด่นเลย  นี่แต่งตัวมาดูหนังแน่เร๊อะ”   โซดาแค่นยิ้มมองดูสาวหน้าหวานที่ยื่นเด่นอยู่หน้าโรงหนัง   ขนาดคนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างแมวน้ำยังไม่กล้าเข้าไปทักได้แต่ชั่งใจ  

“ซะ..โซดา...ไปหาฟากัน...”   สุดท้ายมืออวบก็พยายามดึงลากคนข้างๆที่ยืนตัวแข็งสุดชีวิตให้ไปด้วยกัน    

สาวสวยที่เพิ่งลงจากรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนนเห็นภาพแมวน้ำกำลังลากเพื่อนถูลู่ถูกังอยู่   เลยเดินเข้าไปหาทั้งสองเงียบๆ    นัยน์ตาสีเทาเลยมองไล่ตามสายของเพื่อนหุ่นไซส์ปุ้มปุ้ยไปยังด้านหน้าโรงหนัง

เอาซะเด่น...นี่แอ๊บเซ็กซี่รึไง?  

“เข้าใจแต่งตัวมาดูหนังนิ....” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้สองสาวหันมามอง

สาวสวยที่ใครๆต่างพากันคิดว่าต้องแต่งได้เลิศที่สุด   ดันสวมเสื้อตัวใหญ่สีเทาที่ชายสั้นกว่าทับเสื้อตัวยาวสีน้ำตาลด้านใน      ถึงจะสวมคาร์ดิแกนสีหวานตัวสั้นที่สุดทับแต่ก็แอบเซ็กซี่เพราะแทบมองไม่เห็นชายกระโปรงสั้น   เลคกิ้งสีดำสนิทช่วยเบรกไม่ให้ดูโป๊ะแถมยังดูเท่หน่อยๆเมื่อใส่เข้ากับรองเท้าบู๊ทสีดำเนื้อมันวาว   ส่วนผมสีเพลิงเด่นสะดุดตาถูกรวบเป็นเปียเก็บสวยงาม   ใบหน้าสวยๆแต่งตาให้ดูเชี่ยวเน้นความมั่นใจเต็มที่

แมวน้ำอึ้งไป3วิตะลึงกับลุคเรียบง่ายแต่สะกดสายตา   ส่วนโซดาถึงกับพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มที่มุมปาก

“ไม่เข้าไปหาล่ะ”   มิ้นเลิกคิ้วหันมาถาม

“ยังไม่อยากเป็นเป้าสายตาน่ะ”    เสียงแหบๆตอบแทนคนข้างๆที่ยืนไบ้กิน

“จะทุ่มครึ่งแล้วเข้าไปเอาตั๋วหนังกัน  มีคนซื้อไว้ให้แล้ว”  สาวสวยบอกก่อนจะเดินนำไปหาอีกคนที่ยืนเด่นอยู่

แต่นัยน์ตาสีเทาเห็นชายสองคนกำลังคุยกันอยู่แถมยังส่งสายตาหื่นกามมองฟาชนิดมองจนทะลุเสื้อผ้าไปถึงกระดูกได้เลย      ริมฝีปากบางเลยเม้มเข้าหากันพร้อมกับใบหน้าสวยแสดงสีหน้าไม่พอใจ

ไวกว่าความคิดมิ้นรีบเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยิ้มหวานรออยู่

“มิ้นจ๋า....”
นัยน์ตากลมโตมองการแต่งตัวที่ธรรมดาแต่เก๋มีสไตล์ของสาวผมแดงอย่างเดียว  ไม่ได้สนใจรอบข้างเลยไม่รู้ว่าตัวเองโดนมองด้วยสายตาหื่นกระหายอยู่

อีคาร์ดิแกนตัวนี้อีกแล้ว    ท่าทางจะชอบซะจริ้งใส่มาอยู่ได้...
คนตัวเล็กได้ทีเดินเข้าไปออดอ้อน   ถึงจะหมั่นไส้แต่ก็ต้องเก็บไว้ก่อนยิ้มหวานเข้าใส่แทน

มิ้นตวัดสายตามองชายสองคนที่ยังมองไม่เลิก  ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดเลยโอบไหล่คนน่ารักข้างๆโชว์ซะเลย  ฝ่ายคนโดนกอดตกใจสะดุ้งน้อยๆ
..มะ..มือไวไปไหม ห๊ะ!  
ฟาหลุดสีหน้าหวั่นๆออกมาแต่ก็รีบยิ้มหวานกลบเกลื่อนได้ทัน  

ภาพที่เห็นผ่านสายตาทำให้แมวน้ำแค่นหัวเราะ  ฝ่ายโซดาได้แต่ยิ้มที่มุมปากที่ได้เห็นนิสัยอีกมุมของคนแรงๆอย่างมิ้น

“แมวน้ำ  โซดาเข้าไปข้างในกัน”  สาวสวยเรียกให้เพื่อนเดินตามเข้ามา   แต่ดันมีตัวแถมเพราะผู้ชายสายตาหื่นสองคนนั้นเดินตามสี่สาวเข้าไปในโรงหนังด้วย

........................................................................................................................
 ขนาดเดินเข้ามาในโรงหนังผู้ชายสองคนนั้นยังเดิมตามอยู่    มิ้นเม้มปากแถมความหงุดหงิดก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว    เธอเลยจงใจพาเพื่อนเดินไปทางห้องน้ำ    อีก500เมตรจะถึงห้องน้ำหญิงแต่คนที่ตามก็ยังตามไม่เลิก   สาวสวยเลยหยุดเดินเอาดื้อๆจนสามสาวที่เดินตามมาแทบเบรกไม่ทัน     ฟาที่เดินตามติดๆชนเข้ากับคนตัวสูงก่อนใครเพื่อนเลยมีอาการหน้างอขมวดคิ้ว

“มิ้นหยุดทำไมเหรอ?”
ใบหน้าหวานรีบปั้นหน้ายิ้มเงยขึ้นมองคนที่หยุดเดินด้วยความสงสัย

ไม่มีคำตอบจากเจ้าของเรือนผมสีเพลิง    นอกจากสองมือที่ถอดเสื้อคาร์ดิแกนจากตัวเองมาสวมคลุมเกาะอกอันล่อตาล่อใจของคนตัวเล็กจนได้สโตกเกอร์สองหน่อเดินตาม

นัยน์ตาคู่คมตวัดไปทางรัศมีสายตาหื่นๆ   พอไม่มีวิวดีๆให้มองชายสองคนก็มีสีหน้าเสียดาย
“เดินตามกันขนาดนี้  จะตามไปจนถึงตอนเข้าห้องน้ำเลยไหมคะ”   คำถามทั่วไปกับรอยยิ้มธรรดมากลายเป็นคมมีดและรอยยิ้มร้ายๆกรีดใจให้คนถูกถามได้สะดุ้งทันที   แถมยังเรียกสายตาประณามจากผู้หญิงมากมายที่เดินผ่านไปมาอีก   สุดท้ายพวกเขาก็รีบจ้ำหนีไปด้วยความอับอาย

ฟาถึงกับอึ้ง ขนลุกทั้งตัวเมื่อเพิ่งมารู้ตัวว่ากลายเป็นอาหารตาของใครที่ไหนก็ไม่รู้   ยังดีที่ได้คนตรงหน้าช่วยเอาไว้

ช่วย..เหรอ?    เฮอะ....ใครเค้าขอร้องให้ช่วยยะ!  จะเอาคำขอบคุณเรอะฝันไปเถอะ

“ฟะ..ฟา...ไม่รู้ตัวเลยว่าเค้ามอง..กลัวจัง”
ได้ทีก็แอ๊บหวาดกลัวสุดขีดตรงเข้ากอดมิ้นใหญ่แถมยังซุกหน้าลงกับหน้าอกคนตัวสูงอีก

“คราวหน้าก็คิดหน่อยก่อนจะแต่งอะไรมา  เดี๋ยวจะโดนฉุดเข้าป่าข้างทางมาไม่ถึงโรงหนังเอา!”

...  จะมากไปแล้วนะ  ยัยบ้า !!
ฟาถึงกับเซถอยห่างรีบหันหน้าหนี    มือเล็กกำแน่น  นี่ถ้าตบได้จะตบให้หน้าหงายไปเลย!

“เอ่อ  เห็นมาทางห้องน้ำไม่เข้าห้องน้ำกันเหรอ  งั้นเราเข้าห้องน้ำก่อนนะ”   แมวน้ำที่เริ่มเห็นท่าทีไม่ดีเลยพูดขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอืดอัด

“งั้นไปเอาตั๋วก่อนนะ”   สาวสวยออกตัวแล้วเดินกลับไปที่จุดขายตั๋ว   ส่วนฟาได้แต่เดินตามสาวอวบเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ   เหลือแต่โซดาที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ

……………………………………………………………………………………………………………

มิ้นมองตั๋วหนังในมือแบบเซ็งๆ  คิดผิดจริงๆที่ให้พ่อบ้านตัวดีผู้ชื่นชอบหนังผีเป็นชีวิตจิตใจจัดการเรื่องนี้ให้   แทนที่จะได้ดูหนังใหม่สนุกๆ   เลยได้ดูหนังผีเข้าใหม่ไปซะแบบนั้น  

...เอาเถอะไหนๆก็ซื้อไปแล้ว ไปนั่งดูหน่อยล่ะกัน   คิดซะว่าไปดูหนังกับเพื่อน...ไม่สิ เพื่อนสองคนกับคนที่น่ารังเกียจอีก1
เรียวปากบางยิ้มก่อนจะเก็บตั๋วใส่กระเป๋ากระโปรงยีนส์สุดสั้นโดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาของใครบางคนมองอยู่

“อ่าว นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็น้องมิ้นนี่เอง   ไงคะ สบายดีไหมคะ”
เรียกระคายแก้วหูดังขึ้นเบื้องหลังให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง

สาวรุ่นพี่หน้าโบกเครื่องสำอางหนาๆกับเสื้อคอกว้างที่คว้านจนก้มทีแทบจะมองเห็นสะดือได้  ไหนจะกระโปรงสั้นๆที่ไม่เข้ากับวัยนั้นอีก   แทนที่จะดูสวยเปรี้ยวกับดูพิลึกๆเหมือนคนพยายามจะทำสวยมากกว่า

“อ่าวนี่หลุดมาจากแหล่งไหนเหรอคะ พี่แหวน”
  ใบหน้าสวยเยียดยิ้มใส่อดีตคู่ควงคนที่เท่าไรก็ไม่รู้  เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรจำได้ว่เป็นคู่ควงนี่ก็บุญแล้ว

“ต๊าย  ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะ   พอดีพี่มาดูหนังกับแฟนใหม่ค่ะ เนี่ยเพิ่งช็อปหมดไป3หมื่นกว่าๆ”
แหวนพูดแล้วมองไปทางสาวหล่อร่างท้วมผิวเข้มหน้าตาบ้านๆแต่แต่งตัวภูมิฐานที่ยืนเข้าแถวซื้อตั๋วหนังอยู่

“จะมีใหม่ทั้งที  หาที่ดูดีได้ซักครึ่งของมิ้นหน่อยเถอะค่ะ   เดี๋ยวเค้าจะรู้ตัวเอาว่าพี่รักเค้าที่   เงิน  ”   เสียงเรียบเน้นหนักตรงคำว่าเงิน  แทบทำให้คนฟังเต้นเป็นเจ้าเข้า

“เหรอคะ  แล้วสวยๆอย่างน้องมิ้นเนี่ย   หาใครเป็นตัวเป็นตนได้รึยังล่ะคะ   รึแจกจ่ายทั่วถึงคนนั้นคนนี้ไปวันๆ”
มิ้นยิ้มใส่เลื่อนมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทีไม่พอใจเท่าไร  ฝ่ายคนหาเรื่องยิ้มสะใจจนออกนอกหน้า

ภาพสถานการณ์ที่สาวสวยโดนใครที่ไม่รู้มาคุยด้วยทำให้ฟาเม้มริมฝีปาก  
  ยัยผู้หญิงหน้าเหมือนงิ้วนี่มันใครเนี่ย  อย่ามายุ่งกับเหยื่อ(?)ของคนอื่นจะได้ไหม  วันนี้อุส่าลงทุนแต่งแหวกแนวน่ารักมาแทบตายเรื่องอะไรจะให้หมาที่ไหนไม่รู้คาบไปกินกันเล่า

“รอนานไหมคะมิ้น”
จู่ๆเสียงหวานก็ดังขึ้นขัดความร้อนระอุ  พร้อมกับสองแขนที่ตรงเข้าโอบกอดคนตัวสูงจากข้างหลัง

ฟายิ้มหวานปรายตามองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาดูถูก     ทั้งความน่ารักทั้งความสาวและท่าทางออดอ้อนนั่นทุกอย่างมันลงตัวเกินไปแล้ว   สาวรุ่นพี่อย่างแหวนไม่มีอะไรจะสู้ได้ซักนิดทำได้เพียงมองจิกสายตาใส่สู้ตายแบบหมาจนตรอก  

“อ่าวฟาไปไหนแล้วล่ะ?”  แมวน้ำหันซ้ายมองขวาหาคนตัวเล็กที่เดินออกมาก่อน  

“โน้น  ไปโน้นแล้ว”   โซดาโบ้ยหน้าไปทาง มิ้นที่ยืนเผชิญหน้ากับสาวรุ่นพี่แถมมีฟาเกาะแกะอยู่ด้วย

“มิ้นยืนอยู่กับใครน่ะ  ท่าทางไม่ดีเลย”  พูดจบสาวอวบก็คว้ามืออีกคนไปด้วยความร้อนลน  

ก่อนที่แมวน้ำจะลากโซดาเข้าไปกลางดงสงคราม   มือเรียวก็ดึงตัวคนข้างหน้าให้เป็นเชิงหยุด

“รออยู่แค่ตรงนี้เถอะ”  
“เอ๋!?”
ใจหนึ่งก็อยากเดินเข้าไปช่วยเพื่อนแต่ก็อยากฟังที่โวดาพูดด้วยเหมือนกัน

“มีฟาอยู่ด้วยแบบนั้นมิ้นไม่เป็นไรหรอกน่า  รอฟังรอดูอยู่ตรงนี้ดีกว่า”  
สาวเซอร์บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนอะไร ท่าทีที่ใจเย็นเกินชาวบ้านชาวเมืองทำให้คนใจร้อนล้นยอมฟังและทำตาม

กลับมาที่แวดวงของสามสาวที่ยืนมองหน้ากันเด่นอยู่กลางทางเดิน

“ใครเหรอคะมิ้น”  
ฟาเปิดฉากก่อนด้วยการยิงคำถามตรงๆออกมา

มิ้นเลิกคิ้วกับกากระทำเกินจะคาดเดาของยัยแอ็บตัวแม่   นี่คนสวยต้องรับศึกทีเดียวพร้อมกันสองทางเลยเรอะ!  แต่ลองดูซักตั้งก็ไม่เสียหายอะไรนิ?

“คู่ขาเก่าน่ะ   เสียงดังน่ารำคาญเลยเลิก”  
สาวหน้าหวานยิ้มไม่ออก  ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนทุบด้วยคำพูดจนมึน    เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนสวยเลือกได้อย่างยัยนี่จะเป็นพวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันไปได้   แถมยังกล้ายอมรับออกมาแบบตรงๆอีก

ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้ม

“แหมมิ้นก็   เล่นคบไม่เลือกเลยนะคะ”  ฟาเอียงคอหน่อยยกมือขึ้นจรดริมฝีปากแอ๊บน่ารักสุดๆ   “ไม่รู้นะคนอื่นอาจจะมองว่าพี่เค้าสวย   แต่ฟาว่าต่ำกว่ามาตรฐานเกินรับไหวน่ะ”  ใบหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนางมารน้อยโปรยรอยยิ้มเคลือบยาพิษให้

คบไม่เลือก   เป็นคำเหน็บแหนมว่าคนหัวแดงมั่วไปทั่วสวยไม่สวยขอเป็นผู้หญิงคั่วหมด     ส่วนต่ำกว่ามาตรฐาน  เป็นคำพูดที่เหมือนคมมีดกรีดใจคนฟังอย่างแหวนให้รู้ตัวว่าไม่มีอะไรมาเทียบระดับกันได้  รู้ตัวไว้ซะว่ามีแต่แพ้กับแพ้   คนที่แพ้ยับเยินเลยได้แต่เจ็บใจจนกัดปากแน่น  

เหอะ...   ร้ายนี่เล่นเชือดทีเดียวพร้อมกัน      มิ้นหัวเราะในลำคอ

ตอนนี้สามสาวเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป  ในที่สุดคนแพ้ก็รีบจรลีถอยทัพหนีไปดื้อๆ  
เมื่อโซดาเห็นทุกอย่างสงบลงแล้วจึงเลิกสังเกตการณ์แล้วพาแมวน้ำเดินเข้าไปหาสองสาว

“เข้ากันดีนิ  หนึ่งแรง  หนึ่งร้าย”   สาวเซอร์แค่นยิ้ม

“ก็ยอมรับว่าแรง”   เรียวปากบางยิ้มรับคำเพื่อน

ส่วนคนหน้าหวานถึงกับรีบออกตัว   “ใครร้ายเหรอ?   อ๋อผู้หญิงคนเมื่อกี้ใช่ไหม   ฟาก็ว่าเค้าร้ายนะ”   ยัดเหยียดความร้ายกาจให้คนแพ้ที่หนีไปทันที

“คงงั้นมั้ง”  โซดาได้แต่ยิ้มๆยอมเฉไฉตามน้ำไป

“มิ้น รีบไปกันเถอะ  เดี๋ยวไม่ทันหนังฉายนะ”   สาวหน้าหวานรีบเปลี่ยนเรื่องเขี่ยคำว่าร้ายไปให้พ้นตัว

“อืม  ไปรอหน้าทางเข้าที่โรง3กัน”   ฟาเลิกคิ้วแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมให้ควงแขนไม่มีท่าทีปฏิเสธแถมยังพาเดินไปเองซะอีก

ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้ม   รึแผนจะสำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว!

........................................................................................................................

บริเวณหน้าโรงหนังหมายเลข3  ก็เห็นคนไปมุงกันเต็มไปหมด  ตรงกลางฝูงชนมีมีกระถ่างใส่ต้นไผ่สูงราวๆ2เมตรตั้งเด่นสะดุดตาไว้  แถมยังมีเจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆกัน  บนโต๊ะมีกระดาษหลากสี กับดินสอ ปากกา  สีเมจิกให้บริการฟรี

“วันนี้วันทานาบาตะค่ะ เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่น   เค้าเชื่อกันว่าถ้าเขียนขออะไรก็สมหวัง  ถ้าสนใจก็มาเขียนคำอธิษฐานแล้วมาผูกที่ต้นไผ่ได้นะคะ  ”   พนักงานหญิงประชาสัมพันธ์บอกลูกค้าทั้งสี่ที่เพิ่งเดินมาถึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“น่าลองจัง   เขียนว่าขอให้ผอมๆดีไหมเนี่ย”  แมวน้ำบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแถมยังเดินไปหยิบกระดาษก่อนใคร

“กินแหลกแบบนี้ชาติหน้าคงผอม”   โซดารีบพูดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“งั้นก็ขอให้ตัวเองพูดเยอะๆเหมือนชาวบ้านเค้าซะสิ   ไอ้ตัวพูดน้อย”   แมวน้ำตอบโต้กลับด้วยท่าทีหมั่นไส้

ฟาที่เห็นเพื่อนสองคนแหย่กันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้   เสียงหัวเราะที่ไร้การเสแสร้งทำให้มิ้นยิ้มออกมาด้วย   พอรู้ตัวว่าโดนมองคนตัวเล็กเลยหันมาหาเจ้าของเรือนผมสีเพลิง

“ฟา จะเขียนว่า ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุข   มิ้นจะเขียนว่าอะไรเหรอ”
ริมฝีปากอิ่มโปรยยิ้ม

....ขอให้ทุกคนมีความสุข!  สมกับเป็นยัยแอ๊บแตกจริงๆ
“ว่าจะเขียนขอให้ไม่มีคนเสแสร้งน่ะ”  
 นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงพร้อมกับเรียวปากบางเหยียดยิ้มทำเอาคนที่แอ๊บมาเต็มที่ถึงกับหุบยิ้มรีบหันหน้าหนี

........................................................................................................................

Kiss me Kill me Tanabata


ตอนพิเศษ   TANABATA    ทานาบาตะ


................................................................................................................
เรื่องครั้งนี้   ผมผิดเองที่ไว้ใจคูมากเกินไป  ทั้งที่คูยังอ่อนประสบการณ์อยู่แท้ๆ”   ชายชราในชุดสูทภูมิฐานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยตามไปวัยพยายามซ่อนอารมณ์หม่นหมองเอาไว้  เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม

ดิชั้นก็มีส่วนผิดค่ะทั้งทีเป็นเลขาทำงานอยู่ใกล้คุณคูที่สุด  แต่ดิชั้นกลับเป็นประโยชน์อะไรให้คุณคูไม่ได้เลย  ”   หญิงสาวในชุดสูทสุภาพบอก   ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบางๆก้มลงราวกับต้องการจำนนต่อความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น   สองมือกุมประสานบีบแน่นอยู่บนตัก    ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างชั่งใจ
....ในที่สุดหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้

คุณ  คันซากิ คะ  ให้ดิชั้นมีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยเถอะค่ะ”    เธอก้มศีรษะโค้งลงโน้มไปข้างหน้า  แสดงถึงความตั้งใจขจริงที่พร้อมมือกับปัญญา  

จิรวดีซังคุณเป็นเลขาที่ดีมาก  ทำงานได้เยี่ยมยอดไม่เคยทำให้คูกับผมผิดหวังเลย      แต่  คู  ยืนกรานว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเค้าเอง  เลยขอรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง
เขายิ้มเอ็นดูหญิงสาวเหมือนครั้งที่แรกที่ได้พบกัน

จิรวดีซัง   ผมรักคุณเหมือนที่รักคู  ผมรู้ว่าคุณรักและหวังดีกับคูจริงๆ    แต่ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของคูที่จะกลับไปตระกูลคันซากิด้วยตัวเอง    ถึงคุณจะเป็นคนนอกแต่คูบอกเรื่องธรรมเนียมภายในของตระกูล  คันซากิ ไว้แล้วสินะ

ค่ะ....ดิชั้นทราบค่ะ”   ใบหน้าสวยเสสายตามองไปทางอื่น

 .......................................................................................................................

พี่...

พี่เนยคะ...
ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆหันมาตามเสียงเรียก

จ๋า
เสียงหวานขานรับ พร้อมระบายรอยยิ้มให้เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายที่ยืนอยู่ข้างๆ

พี่เนยก็  ฟาเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว  ใจลอยไปไหนคะ”   คนตัวเล็กทำแก้มป่องเอียงศีรษะไปมาจนพี่สาวคนนี้อดจะยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนด้วยความเอ็นดูไม่ได้

พี่ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ”   จิรวดียิ้มให้ลูกพี่น้องที่เอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ

โกหกไม่เนียนเลยนะพี่เนย....ใครที่ไหนก็รู้ว่าพี่คิดเรื่อง ยัยคุมิโกะอยู่   ยัยผู้หญิงเห็นแก่ตัวทำเป็นเอาความรับผิดชอบมาอ้าง  สุดท้ายก็ทิ้งพี่เนยไปอยู่ดี...!
เดือนหน้าพี่เนยจะไปเล่นต่อป.โทที่อังกฤษแล้ว  ฟาคงเหงาแหย่เลย”  เจ้าตัวเล็กทำหน้าหงอยๆเรียกร้องความสนใจ

เพื่อนเราก็ออกจะเยอะแยะ  พี่ไม่อยู่แค่คนเดียวไม่เหงาหรอก...จริงไหม”   หญิงสาวยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กของญาติผู้น้องเอา  พอสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตของเด็กสาวก็เหมือนโดนอ่านความคิดจนต้องเสสายตามองไปทางอื่น

ไปอยู่ไกลๆก็ดี   จะลืมยัยนั่นแล้วก็มีแฟนใหม่ดีๆกว่าไปเลย
ถึงฟาจะเหงา...แต่ไมเป็นไรคะ เราคุยกันผ่านเฟสก็ได้”   ใบหน้าใสๆระบายยิ้ม

พี่ไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้วเอาแต่คอยคูจังฝ่ายเดียวน่ะ”  พี่สาวคนสวยยิ้มเศร้าๆ

ให้ตายสิอะไรจะรักมั่นขนาดนั้น    พี่เนยคะ!   รักจริงมันไม่มีบนโลกนี้หรอกค่ะ ตาสว่างซักทีเถอะ
พี่เนยเป็นแฟนที่ดีมากเลยนะคะ   ขนาดเค้าบอกว่าต้องกลับไปรับผิดชอบกับบ้านใหญ่  แค่บอกให้รอพี่ก็ยังรอ   นี่ก็3ปีแล้วตั้งแต่พี่ไปส่งเค้าวันนั้น  เคยได้คุยกันอีกไหมล่ะค่ะ   แต่ก็ยังรอ  ฟาว่าพี่ดีมาก...จนดีเกินไปสำหรับเค้าแล้วล่ะค่ะ
เด็กสาวพยายามยิ้มหวานกลบเกลื่อนถ้อยคำแฝงการประชดประชัน    เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจและตอกย้ำให้คิดไปพร้อมกัน

จิรวดีได้แต่ยิ้มเศร้าๆกับคำพูดที่ให้กำลังใจและตอกย้ำให้คิดไปพร้อมกัน

พรุ่งนี้วันที่ 7  กรกฏาแล้วนะ  ทานาบาตะไงจ๊ะ”   ก่อนบทสนทนาจะเลวร้ายลงไปกว่านี้   คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าจึงเปลี่ยนเรื่องคุย    ฟามาเขียนอธิษฐานกับพี่ที่บ้านไหม

ฟาว่ามันก็แค่ความเชื่อตามตำนาน  จะเป็นจริงได้รึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ
กุลธิดารู้ดีว่า พี่เนยของเธอเขียนขอพรให้คนรักกลับมาทุกวันทานาบาตะ....ทั้งที่รู้ว่ายิ่งทำก็ยิ่งเจ็บ ทำไมยังงมงามทำอยู่ได้  ก็แค่สร้างความหวังให้ตัวเองว่า  เค้าจะกลับมา

แต่พี่เชื่อนะ....ถึงมัจจะเหมือนปลอบใจตัวเองก็เถอะ”   ใบหน้าสวยเผยยิ้มเศร้าๆ

ถ้าพี่เนยไม่ตาสว่างคงจมอยู่กับความหวัง ลมๆแล้งๆอยู่แบบนี้ล่ะ
ค่ะ  ถ้าเป็นจริงได้ก็คงดีนะคะ
ฟายิ้ม แต่หรี่ตาลงได้แต่มองอีกคนที่เดินนำไปก่อน

........................................................................................................................

     พรุ่งนี้คือวันที่ 7  กรกฎาคม   ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น  คือวัน ทานาบาตะซึ่งมีตำนานแสนเศร้า    คือเรื่องราวของ          โอริฮิเมะ เจ้าหญิงทอผ้าได้สวยงาม  แต่นางสนใจในงานทอผ้ามากไปจนไม่มีคู่ครอง  กระทั้งบิดาซึ่งเป็นเทพผู้ครองสวรรค์ ได้เห็นความขยันขันแข็งและความดีของฮิโบโกชิชายหนุ่มคนเลี้ยงวัวแห่งแม่น้ำสวรรค์  จึง ยินยอมให้  โอริฮิเมะลองได้พบกับ  ฮิโบโกชิ    หลังจากทั้งคู่ตกหลุมซึ่งรักและกันจึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
      แต่ทั้งสองลุ่มหลงในความรักจนลืมหน้าที่ที่สำคัญของตัวเอง   โอริฮิเมะไม่ยอมทอผ้า  ฮิโบโกชิก็ไม่ยอมดูแลวัว   ปล่อยให้ฝูงวัวไปหาอาหารกินเองกระจายกระจายไปทั่วจนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมด   เมื่อเทพผู้ครองสวรรค์รู้เกิดความพิโรธได้ลงโทษให้ทั้งสองแยกจากกัน   โดยมีทางช้างเผือกเป็นปราการขวางกั้นกลางเอาไว้เพื่อไม่ให้โอริฮิเมะกับฮิโบโกชิได้เจอกันอีกชั่วนิรันดร์    เจ้าหญิงจึงเริ่มทอผ้าอีกครั้ง  ส่วนชายคนเลี้ยงวัวก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด   จนเทพสวรรค์คลายความโกรธจึงยอมเปิดทางช้างเผือกที่เป็นกำแพงกีดขวางให้หายไปวันที่ 7เดือน 7ของทุกปีที่มีเพียงปีละ1ครั้ง  เพื่อให้ทั้งสองได้มาพบกันอีกครั้ง  ฉะนั้นในวันนี้ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น  จะเขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษแล้วนำไปผูกไว้กับต้นไผ่ก็จะทำให้คำอิษฐานหรือความปรารถนาเป็นจริง

….เรื่องราวความรักของเธอเองก็แทบจะไม่ต่างจากตำนาน ทานาบาตะเท่าไรนัก   เริ่มจากตอนฝึกงานก็เป็นถูกอกถูกใจของ  Mr. คันซากิ   1ในกรรมการผู้บริหารของบริษัท   จนถูกดึงตัวไปช่วยงานและได้พบกับ   คันซากิ   คุมิโกะ  ลูกสาวคนสวยของคุณ คันซากิ  ด้วยความใกล้ชิดกันจึงเกิดเป็นความรักขึ้นมา   ทั้งตัวเธอและ คุมิโกะต่างก็รักซึ่งกันและกัน  เป็นคู่คิดที่ดีต่อกันมาตลอด  แต่ด้วยเพราะประสบการณ์และอายุยังน้อยของทั้งคู่   ทำให้โปรเจคสำคัญของบริษัทล้มเหลวเกิดความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล  ส่งผลกระทบต่อตระกูล คันซากิ
....คุมิโกะที่แบกรักทุกอย่าง   แบกรับบาปและความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียว  ได้ตัดสินใจกลับไปทำงานที่บ้านต้นตระกูล  ซึ่งมีกฎสำคัญคือ   ต้นตระกูลให้ความเป็นอิสระกับลูกหลายทุกเชื้อสาย  หากมีคนในตระกูลทำความผิดขึ้นมาต้องกลับเข้ามาทำงานรับใช้ต้นตระกูลจนกว่าจะพิสูนจ์ตัวเองให้ต้นตระกูลเห็น  ว่าตนเองพร้อมจะออกไปจากตระกูลใหญ่อีกครั้ง


เธอยังจำครั้งสุดท้ายที่ไปส่งคนรักที่สนามบิน
เนจัง ต้องรอ คูนะ   คูจังจะกลับมาหาแน่นอน   สัญญานะว่าจะรอ     คูรัก เนจังมากนะ
คันซากิ  คุมิโกะ  หญิงสาวเคยผู้ทรงอำนาจในคันซากิกรุ๊ป เป็นผู้บริหารฝีมือดี  สุขุม  และเยือกเย็น  ตอนนี้กลาบกลายเป็นเพียง ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแต่อารมณ์แห่งการสูญเสีย


ค่ะ เนยจะรอคูจัง
จิรวดีได้แต่เก็บซ่อนความเสียใจพยายามส่งคนสำคัญด้วยรอยยิ้ม

ทุกๆวันที่7เดือน7  เป็นวันทานาบาตะ  วันที่โอริฮิเมะกับฮิโกโบชิที่ถูกพรากจากจะได้มาเจอกัน  เรา มาเขียนคำอธิฐานกัน   ขอให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันไวๆเหมือนเดิม   คูเชื่อนะ  เชื่อในวันทานาบาตะ
สองมือที่เย็นเฉียบบรรจงจับมือเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้เบาๆ

เนยก็เชื่อค่ะ”   หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่นัยน์ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำ

คูรัก เนจังนะ  รักมากที่สุด

จุมพิตสุดท้าย  แม้นจะเกิดขึ้นท่ามกลางสายตามากมายของผู้คนที่เดินผ่านไปมาในสนามบิน   แต่วินาทีนี้เธอไม่สนใจใครอีกแล้ว   ในใจได้แต่ภาวนาให้เวลาหยุดนิ่งลงตรงนี้    เพื่อจะไม่ต้องพลัดพรากจากกันเพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักตลอดไป......

........................................................................................................................

7 กรกฏาคม     เวียนมาครบรอบปีที่4แล้ว    ต้นไผ่ที่แตกกิ่งก้านชูลำต้นสูงใหญ่อยู่ในสวนยังคงถูกใช้เป็นที่เขียนกระดาษที่บรรจุความปรารถนาอันเปี่ยมล้นเหมือนเดิม    ใบหน้าสวยเงยขึ้นมอง  แผ่นกระดาษหลากสีสันมากที่ที่ถูกมัดไว้ตามกิ่งก้านสาขาของไผ่ต้นนี้      ทุกอันเต็มไปด้วยำอธิษฐานและความปรารถนาของเธอทั้งสิ้น

.....  อยากให้อยู่ด้วยกัน...      ..อยากเจอ.......        ...อยากพบ......     .....หากได้เจอจะกอดเอาไว้แน่นๆไม่ให้หายไปอีกแล้ว...

อยากจะย้อนเวลากลับไป....แก้ไขเรื่องทั้งหมด      .....อยากเจอ....เหลือเกิน...

ร่างเล็กในชุดวันพีชสีขาวทรุดตัวลงบนพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนซึ่งรอบๆตัวเธอยังมีกระดาษที่เขียนคำอธิษฐานเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด    นันย์ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำ  

.............  ไม่ว่าปีนี้จะเขียนอะไร   ....ก็ไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้เลยเหรอ....

.....คูจัง.........


........................................................................................................................


หญิงสาวตัวสูงในชุดเสื้อโค๊ทสีดำสนิท   ใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยแว่นสีชา   เรียวปากบางเผยยิ้มเมื่อมองดูกระดาษที่เขียนคำอธิษฐานมากมายที่ผูกติดไว้กับต้นไผ่ในสวนแบบญี่ปุ่น   มือขาวซีดเอื้อมไปละใบไผ่เบา  

คุมิโกะซามะ  ได้เวลาไปพบท่านอาวุโสแล้วครับ”   ชายหนุ่มร่างกำยำในชุดสูทสีดำสนิทสวมแว่นดำที่ยืนคอยอยู่ข้างบอกเสียงเรียบ

เธอเพียงแต่พยักหน้ารับ
โชทาโร่ซัง  เชื่อเรื่องตำนานวันทานาบาตะไหม

เชื่อครับ”  ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะตอบออกมา

มือเรียวจึงเลื่อนขึ้นมาถอดแว่นสีชาออก   ใบหน้าสวยมองกิ่งก้านสาขาของต้นไผ่ที่มีกระดาษเขียนคำอิษฐานผูกเอาไว้เต็มไปหมด

ฉันก็เชื่อ....

........................................................................................................................