Innocen't devil
เล่ม 1และ 2 ยังมีอยู่นะคะ
 
ราคาหนังสือ
Innocent's devil เล่ม1 185บาท
Innocent's devil เล่ม2 235บาท

1. สำหรับผู้สั่งซื้อ เล่ม 1 และเล่ม2 = 235(เล่ม2)+185(เล่ม1)+17ซองกันกระแทกC4+70(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 507 บาท
2.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 2 = 235+17(ซองกันกระแทก)+50(ลงทะเบียน)
รวมต้องชำระ 302 บาท
3.สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ เล่ม 1 = 185+17+50
รวมต้องชำระ 252  บาท

วิธีการแจ้งโอนเงิน
เลขที่บัญชี 736-2-28423-0
  >>>เช็คชื่อบัญชีดีๆนะคะระวังผิด(Morakot W.)<<<
ธนาคาร กสิกรไทย สาขาย่อยถนนรามคำแหง
--------------------------------
หมายเหตุ : หลังแจ้งการโอนเงินแล้ว
กรุณาอีเมล์บอก(subject : ค่าหนังสือ IND)
เมล์ aphrodite_eve@hotmail.com
1.ชื่อ -นามสกุลที่จะให้จัดส่ง
2หนังสือเล่มที่ต้องการซื้อ ยอดการโอน(ลงท้ายเป็นเศษสตางค์)
3.หลักฐานการโอนเงิน เวลาที่โอน สาขา หรืออะไรก็ได้ที่ระบุว่าท่านเป็นผู้โอนเงิน ทางผู้แต่งจะได้สามารถเช็คได้นะคะ
ปล. มีปัญหาอะไรสามารถ เมล์มาสอบถามได้นะคะ หรือจะทิ้งไว้ในfacebook ก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
 
 
 

12.7.55

Captivated Clumsy 05

"พี่กลับมาแล้วนะ"ร่างสูงบางในชุดทำงานสีดำสนิท พร้อมกับแว่นกันแดดยี่ห้อดังที่ถูกถอดออกอย่างช้าๆ ผมสีดำขลับที่ถูกรวบไว้ดูเรียบร้อยและเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว เธอค่อยๆหรี่ตาเพื่อปรับสายตาขณะเดินออกจากสนามบิน
"ยินดีตอนรับกลับเมืองไทยครับ คุณแพรวา"เสียงนุ่มแต่แฝงน้ำเสียงอบอุ่นของชายชราที่แต่งตัวสุภาพไม่ต่าง อะไรกับผู้มารับ กล่าวเอ่ยทักด้วยความนอบน้อม

"อืม"เธอตอบสั้นๆ แล้วจึงยื่นกระเป๋าเดินทางใบโตส่งให้ชายชราก่อนจะค่อยๆย่อตัวเข้าไปนั่งในรถ สีดำคันหรู โดยไม่พูดอะไรอีก"คุณแพรจะกลับบ้านเลย หรือจะแวะที่ไหนก่อนมั้ยครับ"ชายชราที่เป็นคนขับรถมองกระจกหลังถามเธอ
"กลับบ้าน ฉันเหนื่อยอยากพัก"เธอยังคงตอบเสียงราบเรียบ คนขับรถสูงวัยอมยิ้มเล็กๆตลอดระยะเวลาเกือบ2ปี ที่คุณหนูของบ้านยังคงรักษากริยาและท่าทางได้เนี้ยบเหมือนเดิม แพรวาเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้บริหารใหญ่โรงแรมห้าดาวที่มีสาขาต่างๆอยู่ทั่ว โลก และเมื่อ2ปีที่ผ่านมาเธอก็ตัดสินใจที่จะทำตามความฝันของพ่อที่ขอร้องเธอมา โดยตลอด นั่นคือการไปร่ำเรียนวิชาบริหารจัดการโรงแรมที่ประเทศอังกฤษ ด้วยความที่แพรวาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง จึงไม่แปลกเลยที่เวลาเพียงไม่นานเธอก็สามารถคว้าปริญญามาได้สำเร็จ เมื่อสำเร็จการศึกษาเธอจึงรีบบินกลับเมืองไทยโดยเร็วที่สุด แพรวานั่งคิดอะไรมาเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้สนใจจะมองสภาพแวดล้อมและบ้านเมือง ที่เปลี่ยนไป ใบหน้าหวานของใครบางคนที่เธอไม่เคยลืมและคิดถึงมาตลอดที่เธอต้องใช้ชีวิต เพียงลำพังอยู่ที่เมืองนอกผุดขึ้นมาในสมอง รอยยิ้มหวานๆ ท่าทางขี้เล่น ที่เรียกรอยยิ้มของเธอได้ทุกครั้งที่ได้เห็น รวมถึงรอยจุมพิตที่ยังตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปากบาง แพรวา เผลอใช้นิ้วลูบไล้ไปตามริมฝีปากของตัวเองอย่างอดไม่ได้

เธอยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาของเธอและใครคนหนึ่ง คนที่เธอรักมากที่สุด คนที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตที่มีแต่ความเคร่งเครียด แรงกดดันจากทางบ้านและภาระของครอบครัว ใครคนนั้นที่อยู่ข้างเธอยามเธอทุกข์ใจ ใครคนนั้นที่คอยปลอบโยนเธอ ดูแลเธอ เป็นห่วงเป็นใยเธอจนความรู้สึกที่เคยเฉยชาไม่เคยเห็นใครในสายตาเปลี่ยนไป ความอ่อนโยนที่มีให้ได้เปลี่ยนโลกที่แสนน่าเบื่อให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ครั้ง

.....ใครคนนั้นที่ชื่อ”อาคิรา” ดวงอาทิตย์ดวงน้อยที่เข้ามาส่องแสงให้ความสว่างความสดใสในใจของเธอ ดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่น ร่างเริงสดใส ดวงอาทิตย์ดวงนั้นที่เธอยังคงคิดถึงและรักเรื่อยมา แต่ก็อาจจะเป็นดวงอาทิตย์ที่สามารถแผดเผาเธอให้มลายหายไปได้เช่นกัน
"มีเรื่องอะไรดีๆเหรอครับ คุณแพร" เสียงนุ่มๆปลุกแพรวาให้หลุดจากผวังค์
"เปล่าไม่มีอะไร" แพรวากลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้งเธอหุบยิ้มและตีสีหน้าเฉยชาเหมือนคนไม่ มีความรู้สึกเหมือนเดิม แล้วมองออกไปนอกกระจกแทน
"คุณพ่อ อาการเป็นไงบ้าง" หลังจากที่นั่งเงียบมาเป็นเวลานาน แพรวาก็เอ่ยปากถามถึงบุพการีที่เธอได้รับโทรศัทพ์ด่วนถึงอาการป่าย และเข้าทำการผ่าตัดเมื่อไม่กี่วันมานี้
"คุณผู้ชายพ้นขีดอันตรายแล้วครับแต่อาการยังทรงตัวอยู่ตอนนี้พักรักษาอยู่ที่รพ ครับ" ชายชราซึ่งเป็นผู้ขับรถเอ่ยตอบเบาๆ

"เหรอ" แพรวาตอบรับเบาๆแล้วก็เงียบไปอีก
"คุณแพรจะไปเยี่ยมคุณผู้ชายเลยมั้ยล่ะครับ ยังไงก็ทางผ่านพอดี" ด้วยความหวังดีชายชราเอ่ยทัก พ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันร่วม2ปีคงจะคิดถึงกันมาก
"ไม่จำเป็น ยังไงคุณพ่อก็มีนังพวกนั้นค่อยดูแลอยู่แล้ว" แพรวาตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจ แววตาที่เคยอ่อนโยนกลับเปลี่ยนเป็นชิงชัง เมื่อนึกถึงเหล่าบรรดาปลิงสาวที่คอยดูดเลือดพ่อของเธอ

"เอ่อครับ" ชายชราอำอึ้งและนึกว่าไม่น่าพูดออกไปเลย
"คุณแม่ล่ะ สบายดีมั้ย" แพรวาเอ่ยถามถึงผู้ที่เธอรักมากที่สุดอีกคนหนึ่ง ที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดระยะเวลาที่ต้องห่างไกลกัน จะมีก็เพียงนานๆครั้งที่เธอ ทนคิดถึงไม่ไหวจนต้องตัดสินใจโทรหา
"คุณผู้หญิงสบายดีครับ" ชายชราตอบเบาๆ
"อืม"
เวลาผ่านไปเกือบสองชม แพรวาจึงหลุดออกมาจากการจราจรอันแสนติดขัดได้เสียที เธอถอนหายใจอย่างเบื่อระอากับการจราจรของเมืองใหญ่
"หือ" แพรวานิ่วหน้าเมื่อโทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าสั่นเตือน เธอเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยได้ไม่กี่ชั่วโมง ใครกันนะที่โทรหาเธอ และเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา แพรวาก็ถอนหายใจและนึกว่าไม่น่าจะเปิดเครื่องมือสื่อสารทันทีที่ออกจากสนาม บินเลย เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับสาย
"มีอะไร" แพรวาเสียงแข็งพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
"แหม ทำไมพูดเสียงแข็งแบบนั้นละครับ…ที่รัก"
"อย่ามาเรียกแพรว่าที่รัก เราไม่เคยเป็นอะไรกัน" แพรวาหน้าชาเหลืออดกับน้ำเสียงที่ฟังยียวนโสตประสาทเธอเหลือเกิน
"ทำไมพูดแบบนั้นละครับ อีกหน่อยเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
"คุณก็รู้ว่าเพราะอะไรแพรถึงยอมหมั้นกับคุณ"
"อย่าคิดว่าเงินไม่กี่ล้านจะทำให้ผมยอมเลิกลา อีกอย่างถ้าเรื่องไปถึงหูคุณพ่อคุณ คุณคงรู้นะว่าจะเป็นยังไงคิดให้ดีๆ"หลังจากพูดจบชายหนุ่มปลายสายก็วางหูไป แพรวาขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ทันไรปัญหาเดิมๆก็กลับเข้ามาหาเธออีกแล้ว

"หือ"แพรวาพึมพำเบาๆขณะรถคันหรูขับผ่านร้านเบเกอรี่เล็กๆ ที่ดูคุ้นตาเธอ "จอดก่อน" แพรวาสั่ง "ครับๆ" ชายชราตอบรับแบบงงๆเมื่อแพรวาสั่งให้เขาจอดรถกระทันหัน เธอหยิบแว่นสีชาที่เหน็บอยู่ที่ปกเสื้อขึ้นมาใส่ พร้อมกับเปิดประตูรถคันหรูลงเดินโดยไม่สนใจมองสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่าน มาแถวนั้นด้วยความแปลกใจว่า ผู้หญิงที่ดูไฮโซคนนี้ลงมาเดินถนนทำไม
"รอนี่นะ ฉันไปไม่นาน"แพรวาหันมาสั่งคนขับรถ "ครับๆ" ชายชราตอบ
แพรวาเปิดประตูกระจกใสเข้าไปในร้านพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านมาเกือบสองปีก็ตามที เธอมองไปที่มุมข้างเคาเตอร์เครื่องดื่มที่มีชุดเก้าอี้สีอ่อนดูน่านั่ง ซ่อนตัวหลบสายตาและความวุ่นวาย ที่ตรงนั้นยังคงว่างอยู่ แพรวาถอดเสื้อคลุมตัวหรูออกเผยให้เห็นเสื้อแขนกุดสีขาวภายในเธอพาดเสื้อคลุม ไว้ที่พนักเก้าอี้ แล้วนั่งลง
"ใครน่ะ สวยจังดูไฮโซ้ไฮโซเน๊อะ"เสียงซุบซิบเบาๆดังขึ้น แพรวาทำเป็นไม่สนใจ
"เออ รับอะไรดีค่ะ" เสียงสั่นๆของพนักงานสาวดังขึ้นเบาๆพร้อมกระดาษโน้ตที่คอยรับเมนูอยู่ในมือ
"กาแฟร้อน"แพรวาตอบเสียงราบเรียบ
"ค่ะๆ" พนักงานสาวพยักหน้างึกๆก่อนจะหันหลังเดินไป
"เอ่อเดียวๆ พี่แก้วยังเป็นเจ้าของร้านนี้อยู่รึเปล่า" แพรวาเอ่ยปากถามเบาๆ
"เออค่ะ..ใช่ค่ะ" พนักงานหันไปตอบ
แพรวานั่งมองทุกอย่างภายในร้าน จนสายตามาหยุดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่งที่มีรอยครูดจางๆติดอยู่ เธออมยิ้มลูบมือเรียวไปตามรอยครูดนั่นเบาๆ รอยจางๆที่ถ้าไม่สังเกตุคงจะไม่เห็น แพรวามองมันด้วยสายตาเหม่อลอย "P + E"

"โต๊ะไหน เดียวพี่ไปเสิฟร์เอง" เสียงหวานดังมาแต่ไกล เรียกสติของเธอให้กลับคืนมา เธอหันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นผู้หญิงร่างท้วม ท่าทางใจดีกำลังวุ่นวายอยู่ที่เคาเตอร์
".โต๊ะ12ค่ะพี่แก้ว"
"อือๆ"แก้วพยักหน้ารับ ยกกาแฟแก้วเล็กที่มีควันหอมลอยกรุ่นออกมาใส่ในถาด สแตนเลสแล้วยกเดินอย่างระมัดระวังด้วยนิ้วมือป้อมๆของตัวเอง
"กาแฟร้อนที่สั่งได้แล้วค่ะ"แก้วฉีกยิ้ม วางกาแฟแก้วนั้นลงตรงหน้าแพรวา
"พี่แก้ว" แพรวาทักเบาๆ
"เอ๋....เออคุณรู้จักดิฉันด้วยเหรอค่ะ" แก้วนิ่วหน้าอย่างสงสัยที่ผู้หญิงท่าทางผู้ดี๊ผู้ดี เหมือนจะรู้จักเธอ แพรวาอมยิ้มเล็กๆแล้วจึงถอดแว่นตากันแดดออก
"ตายแล้วน้องแพร.....ไปไงมาไงคะเนี่ย เดียวๆพี่ได้ข่าวว่าน้องแพรไป เรียนต่อเมืองนอกนี่ค่ะแล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไรค่ะเนี่ย" แก้วเอามือกุมหน้าอกด้วยความตกใจ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับแพรวา
"ค่ะ แพรไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ" แพรวาอธิบายเบาๆ
"ดีใจด้วยนะคะ เก่งจริงๆเลยน้องแพรเนี่ย" แก้วฉีกยิ้มจนตาปิด พร้อมหัวเราะคิกคัก
".กิจการเป็นไงบ้างคะพี่แก้ว" แพรวาเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท
"ก็ดีค่ะ อย่างที่น้องแพรเห็นก็แน่นอย่างนี้ทุกวันยิ่งช่วงเทศกาล พี่แก้วอยากจะมีซักสิบมือ จะได้บริการลูกค้าได้ทั่วถึง" แก้วเล่าไปยิ้มไป

"ค่ะ ดีใจด้วยนะคะ" แพรวายิ้มแล้วยกกาแฟในแก้วเล็กขึ้นจิบ
"เอ่อ...พี่แก้วคะ อายยังแวะมาที่ร้านอยู่บ้างเปล่า" แพรวาเข้าเรื่องเธอตัดสินใจถามผู้หญิงวัยกลางคนร่างท้วมออกไปในที่สุด
"น้องอายเหรอคะ อืม...ก็ยังมานะคะแต่ไม่บ่อยเหมือนสมัยก่อน เดือนๆหนึ่งจะเข้ามาทักพี่แก้ว แต่แค่ครั้งสองครั้งน่ะค่ะ" แก้วทำท่านึกอยู่ซักครู่แล้วจึงบอกให้แพรวาฟัง
"เหรอคะ"
"ค่ะ น้องอายเวลามาที่ร้านก็จะแกล้งทำตัวร่างเริงทั้งๆที่พอไม่มีใครสนใจก็จะเอา แต่นั่งเหม่อ พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นแต่พี่สงสารเธอค่ะ บางครั้งพี่ยังต้องชวนน้องอายทำโน้นทำนี่ จนตอนนี้ น้องอายชงกาแฟอร่อยแล้วนะคะ คิคิ" แก้วยิ้มอธิบาย

"พี่ขอโทษ" แพรวานึกตำหนิตัวเองในใจ ยิ่งได้รับรู้เรื่องราวจากปากของแก้วแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าอาคิรายังคงไม่ลืมเธอ ความรู้สึกอบอุ่นเล็กๆที่ไม่คิดว่าจะได้รับจากผู้หญิงหน้าหวานนั้นหวนคืน กลับมาอีกครั้ง และเธอจะพิสูจน์ให้คนตัวเล็กเห็น ว่าความรักที่เคยมีให้ยังคงเหมือนเดิมละไม่มีทางที่เธอจะทอดทิ้ง ดวงอาทิตย์ดวงน้อยที่ยังอยู่ในใจเธอเรื่อยมา ไม่ให้หายไปไหนอีกแล้ว 


“จะบ่ายโมงแล้วคุยเพลินเลย” หลังจากขนเรื่องราวในคลังของตัวเองออกมาเล่าเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของ คนตรงหน้าเสียมากมาย อาริคาก็เหลือบมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือ
“จริงเหรอคะ พี่ก็นั่งฟังเพลินเลย” แอมยิ้มแล้วมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองบ้าง
“น้องอายอยากไปไหนต่อหรือเปล่าคะ” แอมถามขณะขวักมือเรียกบริกรให้มาคิดเงินค่าอาหาร
“ไม่ดีกว่าค่ะ” อายคิดอยู่ซักพักแล้วเอ่ยบอก
“งั้นไปเป็นเพื่อนพี่เดินซื้อของหน่อยนะคะ ไหนๆก็มาแล้ว ได้ไหมคะ” แอมพูดเบาๆพลางส่งรอยยิ้มหวานๆมาให้คนที่ยังทำท่าลังเลใช้ความคิดอยู่
“พี่แอมอย่ายิ้มแบบนี้สิคะ(แล้วใครจะไปกล้าปฎิเสธล่ะ)” อายพึมพำเบาๆในประโยคหลัง แล้วเธอก็เดินตามร่างสูงที่เดินนำหน้าเธอไป
“ไปค่ะ”แอมหันมายิ้มแล้วยื่นมือของตัวเองให้อีกคนจับราวกับว่าอาคิราเป็นเด็กตัวน้อยที่อาจซนจนหลงหายไปไหนได้

“อายไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ต้องจูงมืออะ”อายว่างอนๆบอกคุณหมอที่ยังยืนยิ้มยื่นมือให้เธออยู่ดี
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ มาค่ะ” แอมบอกเบาๆแล้วถือวิสาสะเข้าไปเกี่ยวมือของคนตัวเล็กมากุมไว้เสียเอง

“ไปไหนต่อดี แผนกเครื่องประดับแล้วกัน พี่แอมอยากได้สร้อยน่ารักๆซักเส้น น้องอายไปช่วยพี่แอมเลือกหน่อยนะ”แอมยิ้ม แล้วรีบเดินจูงมืออาคิราที่ก้มหน้างุดๆด้วยความอายเดินไป
“ก็ได้ค่าๆ” อายตอบรับขำๆแล้วเดินเคียงคู่ไปพร้อมๆกับแอม

“น้องอายว่าเส้นนี้เป็นไงคะ” แอมหยิบสร้อยเงินเล็กเล็กที่มีจี้รูปปลาโลมา ซึ่งเป็นสัตว์ตัวโปรดของเธอขึ้นมาให้อาคิราดู
“พี่แอมชอบปลาโลมาเหรอคะ” อายเท้าคางที่เคาเตอร์พร้อมเอ่ยถาม
“ค่ะ เป็นไงเหมาะกับพี่มั้ย” แอมยิ้ม พลางทาบสร้อยเส้นนั้นที่คอของตัวเอง
“พี่แอมใส่อะไรก็..สวยหมดล่ะค่ะ”อายคิดในใจไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มให้แอม
“ว่าไงคะ หรือว่าไม่เหมาะ”แอมหน้าเศร้าเมื่ออายดูจะไม่สนใจตอบอะไร
“เหมาะค่ะ อืม....แต่อายว่าเส้นนี้ดีกว่า” คนตัวเล็กออกความเห็นพร้อมกับหยิบสร้อยเส้นที่วางอยู่ข้างๆที่แบบเหมือนกับ เส้นที่หมอแอมหยิบมาดูเพียงแต่ พลอยที่ประดับดวงตาของปลาโลมานั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่ใช่สีชมพูอ่อนเหมือนเส้นที่หมอแอมหยิบขึ้นมาดู

“หือ....แบบมันก็เหมือนกันนี่คะ” แอมสงสัยเมื่อเห็นอายหยิบสร้อยแบบเดียวกันให้เธอ
“อายชอบสีฟ้า....เชื่ออายสิคะ พี่แอมใส่เส้นนี้ดูดีกว่า” เธอยิ้มกว้างอธิบายให้หมอแอมฟัง
“เหรอคะ...แต่พี่แอมเป็นคนใส่นะ ไม่ใช่น้องอายซักหน่อย หืม….” แอมยิ้มแกล้งหยอกอายกลับไป
“เออ นั่นสิเน๊อะ เอ้า.....ก็พี่แอมถามความคิดอายนี่คะ อายก็ตอบไปตามที่อายคิดสิ” ดูเหมือนสาวหน้าหวานจะไม่ยอมถูกแกล้งง่ายๆซะแล้ว
“โอเคค่ะ ถ้าน้องอายชอบเส้นนี้ งั้นพี่แอมเอาเส้นนี้” แอมยิ้ม แล้วส่งสร้อยเส้นสวยให้พนักงานขายไป
“งั้นขออายไปเดินดูอะไรแถวนี้แป๊บนะคะ..ถ้าได้แล้วพี่แอมเรียกอายด้วยนะ” เธอเองเมื่อเห็นเครื่องประดับชิ้นเล็กน่ารักหลากหลายแบบ มีรึความเป็นหญิงในร่างจะไม่พุ่งพล่าน จนเธออดใจไม่ไหวต้องขอไปเดินดูเครื่องประดับพวกนั้นบ้าง
“ได้ค่ะ” แอมตอบเบาๆ แล้วยืนรอปล่อยให้สาวตัวเล็กเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ

จนเธอแอบสังเกตเห็นอาคิราไปยืนเกาะตู้กระจกที่โชว์แหวนหลากหลายสไตล์อยู่นาน และเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าอะไรกันนะที่ทำให้สาวน้อยหน้าหวานยืนจ้องอยู่ได้ เป็นนานแสนนาน เธอจึงค่อยๆเดินย่องเงียบๆเข้าไปหา

สิ่งที่คนตัวเล็กกำลังมองอยู่นั้นเป็นแหวนเงินคู่ที่มีปลาโลมาสองตัวกระโดด เข้าหากันโดยที่ปากของปลาโลมาทั้งคู่หันชนกัน คล้ายกำลังจูบกันและก็มองคล้ายรูปหัวใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน ดวงตาของปลาโลมาทั้งสองตัวทำด้วยซัพฟายสีน้ำเงินสดใส อาคิรายืนจ้องมันอยู่นาน พร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ

“น้องอายคะ ได้แล้วค่ะ” เธอแกล้งถอยหลังออกไปแล้วเรียกชื่อสาวหน้าหวานให้สะดุ้งเล่น
“ค่ะๆ” อายหันขวับไปยิ้มหวานให้แล้วเดินไปหา
“ว่าไงคะ เจออะไรถูกใจมั้ย” แอมหยักคิ้วแกล้งถาม
“อือ ก็มีหลายอย่างค่ะ แฮะๆแต่อายโลภอยากได้ไปหมดเลยไม่รู้จะเลือกอะไรดี” อาคิราหัวเรอะเก้อๆ
“เหรอคะ” แอมพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับนึกอะไรบางอย่างไปด้วย
“เรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะค่ะ อายชักเมื่อยขาแล้ว” อาคิราบ่นเบาๆพร้อมทำหน้างุ้ม
“งั้นเรากลับกันเลยดีกว่า เดียวพี่แอมต้องแวะรับน้องเมย์ที่ รร อีกน้องอายจะให้พี่แอมไปส่งที่ไหนดีคะ” แอมถามขณะกดลิฟท์ลงเพื่อไปยังที่จอดรถ

“ที่ รร เจ้าข้าวก็ได้ค่ะ เพราะยังไงวันนี้อายคงต้องอยู่ซ้อมละครเวทีของมหาลัยอีก” อายเบ้หน้าพูดอย่างหน่ายๆเมื่อนึกถึงละครเวทีที่ดูเหมือนเธอจะปฏิเสธไม่ได้ เสียแล้ว
“ละครเวที?” แอมพูดซ้ำเป็นเชิงถาม
“ค่ะ อายต้องแสดงละครเวทีแทนโปรเจคที่ไม่ผ่านนะค่.” ว่าแล้วอาคิราก็ถอนหายใจออกมา
“น้องอายไม่ชอบเหรอค่ะ ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไรเลย”
“ไม่เชิงหรอกค่ะ เพียงแค่เออ....อายไม่ค่อยเก่งเรื่องท่องจำเท่าไร พี่แอมก็น่าจะรู้” เธอแกล้งเปลี่ยนเฉไฉเป็นเรื่องอื่นไม่อยากให้แอมรับรู้ถึงเรื่องของอาจารย์ สาวที่จ้องจะตะครุบเธออยู่

“นั่นน่ะสิค่ะ แค่เบอร์โทรพี่แอม น้องอายยังต้องจดลงสมุดโน้ตเลยนี่” แอมยิ้มหัวเราะแกล้งแซวอาคิราอีกครั้ง
“พี่แอมก็เกินไปค่ะ เบอร์สำคัญขนาดนั้นทำไมอายจะจำไม่ได้ จำได้สิคะ” อายพูดย่อตัวเองบ้าง
“เบอร์สำคัญ? เบอร์ของพี่แอมสำคัญกับน้องอายมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ” แอมแกล้งถามไปอีก อยากรู้ว่าสาวหน้าหวานจะว่าอย่างไร อาคิราเองกลับเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองหลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไปเสียแล้ว ถ้าคุณหมอรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรแล้วคุณหมอจะเกลียดเธอมั้ย เธอยังไม่ต้องการให้คุณหมอรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรตอนนี้

“อะ.เออ.เออ ก็ สำคัญสิคะ ก็พี่แอมสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวอายนิ กินฟรีตั้งมื้อหนึ่งฟรีๆใครจะลืมล่ะค่ะแฮะๆ” อาคิราแก้ตัวน้ำขุ่นๆแล้วนึกเจ็บใจตัวเองที่หาข้อแก้ตัวที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ในตอนนี้
“อ๋อ....เหรอค่ะ” มีหรือที่คนอย่างแอมจะไม่รู้ว่าอาคิราคิดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อเจ้าตัวยังอิดออดไม่กล้าพูดอะไร เธอก็ไม่กล้าที่จะทึกทักเอาเองเหมือนกัน จึงได้แต่ส่งยิ้มหวานๆไปให้อาคิราแทน


ตลอดทางที่นั่งรถกลับ อายก็เริ่มเงียบอีกครั้ง ยิ่งคุณหมอหยิบยื่นความรู้สึกดีๆให้เธอมากขึ้นเท่าไรเธอกลับยิ่งรู้สึกแย่ลง ความรู้สึกถูกผิดกับความรู้สึกของหัวใจที่เรียกร้องมันช่างขัดแย้งกันสิ้นดี "น้องอายเป็นอะไรรึเปล่าค่ะตั้งแต่ขึ้นรถมาก็เอาแต่เงียบหรือว่าถ่านหมด" คุณหมอคนสวยสังเกตเห็นว่าอาริคาเริ่มจะติดอยู่กับความคิดของตัวเองเพียง ลำพังอีกแล้วเธอจึงแกล้งทักให้คนข้างๆหันมาสนใจแทน

"อายไม่ใช่ตุ๊กตานะถ่านจะได้หมด" อายหันมามองค้อนเล็กๆถอนหายใจแล้วก็เงียบลงอีก
"อ้าวเหรอค่ะ แล้วตกลงเป็นอะไรล่ะคะ เงียบอีกแล้ว" แอมหันมาถามขณะที่รถหยุดรอไฟแดง
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"
"แล้วคิดอะไรอยู่ละค่ะ พี่แอมถามได้มั้ย..เห็นน้องอายเงียบ ท่าทางก็เหมือนคิดอะไรไม่ตกอยู่ บอกพี่แอมได้นะคะเผื่อพี่แอมจะช่วยอะไรได้บ้าง" แอมยิ้มส่งให้อีกครั้ง อายเห็นรอยยิ้มหวานๆนั้น ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง"ก็เพราะพี่แอมนั่นแหละที่ทำให้อายเป็นแบบนี้ ตัวต้นเหตุ" อาคิรามองหน้าหวานๆนั้นพลางนึก จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าเรื่องที่เธอกำลังกลุ้มเป็นนักหนาก็เรื่องของเจ้า ตัวคนถามนี่ล่ะ
"ว่าไงคะ บอกพี่แอมได้มั้ย" แอมถามย้ำอีกครั้ง
"พี่แอมอย่าดีกับอายมากนักได้มั้ยคะ" อายคิราพึมพำเบาๆแต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้คนที่นั่งข้างๆได้ยิน
"น้องอายว่าอะไรนะค่ะ" แอมขมวดคิ้วหันมาถามคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าเบาๆ
"เอ่อ เปล่าคะไม่มีอะไร พี่แอมอย่าใส่ใจเลย" อายแก้ตัวตะกุกตะกัก
"เอาเถอะค่ะ ยังไงพี่ก็คงไม่สำคัญขนาดนั้นน้องอายถึงไม่ไว้ใจ ยังไงพี่ก็แค่คนนอก" เอาแล้วไง สงสัยคุณหมอคนสวยจะเริ่มติดเชื้อขี้งอนของอาคิรามา แอมเองพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรยิ่งสายตาที่มองเธอแบบนั้น เธอก็พอจะเดาได้ว่าอาคิราคิดอะไรอยู่ แต่เจ้าตัวนี่ก็ออกจะจินตนาการสูงเหลือเกิน มีอะไรก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมบอกเธอมาตรงๆ
"พี่แอมอ่า...อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ก็มันไม่มีอะไรจริงๆแล้วทำไมทำไมพี่แอมจะไม่สำคัญกับอายล่ะ" อาคิรารีบตอบกลับแต่ยิ่งพูดมากเท่าไร ไอ้ความรู้สึกที่อยู่ข้างในมันก็ยิ่งจะทะลักออกมา เธอจึงคิดว่าเงียบดีกว่าที่จะพูดออกไป

"ค่ะ พี่แอมก็ไม่รู้หรอกนะว่าน้องอายมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือไม่พอใจอะไรพี่ แอมหรือเปล่าแต่พี่แอมจะรอวันที่น้องอายพร้อมจะบอกพี่ก็แล้วกันนะคะ" เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของอาคิรา เธอก็รู้ว่าไม่ควรจะคะยั้นคะยออะไรมากกว่านี้ แอมจึงส่งยิ้มอ่อนโยนให้อายแทนและจะไม่ทำแบบนี้อีกจนกว่าเจ้าตัวจะพร้อมและ ยินดีจะบอกเธอเอง

ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไรกันอีกจนรถคันสวยจอดนิ่งอยู่หน้าโรงเรียนอนุบาล อาคิรายกมือไหว้และขอตัวจากไปโดยไม่หันมามองหน้าคุณหมอคนสวยอีก แอมหรี่ตามองดูสาวตัวเล็กที่รีบเดินจ้ำอ้าวจากไป เรื่องอะไรกันนะที่ทำให้อาคิรากลุ้มใจได้ขนาดนี้ และเมื่อมองเห็นป้ายโรงเรียนอนุบาล เธอก็พอจะนึกอะไรออก แอมส่ายหน้าน้อยๆยิ้มมุมปาก ดูท่าคงจะต้องทำอะไรให้สาวหน้าหวานรู้ซะแล้วสินะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น